ประตูผี เปรตวัดสุทัศน์ แร้งวัดสระเกศ

ประตูผี มีผีจริงไหม ทำไมถึงเรียกประตูผี ทั้งที่ย่านนี้มีแต่ของอร่อย

หากพูดถึงเส้นทางสตรีทฟู้ดสำหรับเหล่านักชิมในย่านเมืองเก่ากรุงเทพฯ นอกจากย่านเยาวราชแล้วเส้น ประตูผี - สำราญราษฎร์ ก็โดดเด่นเรื่องสตรีทฟู้ดยามค่ำคืนไม่แพ้ใคร

Home / กรุงเทพมหานครฯ / ประตูผี มีผีจริงไหม ทำไมถึงเรียกประตูผี ทั้งที่ย่านนี้มีแต่ของอร่อย

หากพูดถึงเส้นทางสตรีทฟู้ดสำหรับเหล่านักชิมในย่านเมืองเก่ากรุงเทพฯ นอกจากย่านเยาวราชแล้วเส้น ประตูผี – สำราญราษฎร์ ก็โดดเด่นเรื่องสตรีทฟู้ดยามค่ำคืนไม่แพ้ใคร นอกจาก เจ้ไฝร้านดังที่ได้รับดาวมิชลิน 2 ปีซ้อนติดกัน จนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างต้องมานั่งรอคิวยาว ย่านนี้ยังมีผัดไทประตูผีเจ้าดังอย่าง ร้านทิพย์สมัย เย็นตาโฟรสแซ่บอย่าง ร้านตี๋เย็นตาโฟ และร้านอื่นๆ อีกมากมาย แล้วทำไมถึงไม่มีใครเคยเจอผี แล้วทำไมคนยังมาออต่อคิวกินข้าวลิ้มลองของอร่อยกันอย่างไม่หวั่นกลัว ?

ชื่อ”ประตูผี” นั้นมีที่มา

ประตูผี

บรรยากาศประตูผีภายในสวนหลังป้อมมหากาฬ

วัดสระเกศ

ด้วยในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรีได้เกิดโรคห่าระบาด (อหิวาตกโรค) ผู้คนในพระนครล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ไทยเราจะไม่จัดเผาศพในพระนคร (นับจากคูเมืองหรือกำแพงพระนครนั่นเอง ซึ่งหากวัดอยู่ในกำแพงพระนครก็จะไม่มีเมรุเผาศพ ) ชาวบ้านร้านตลาดที่เสียชีวิตแล้วก็จะขนศพไปเผานอกพระนคร ซึ่งเส้นทางที่ขนศพในยุคนั้นก็คือ ประตูสำราญราษฎร์ หรือที่ชาวบ้านในยุคนั้นเรียกกันว่า ” ประตูผี ” อันเป็นทางออกที่จะขนศพไปวัดสระเกศเพื่อทำพิธีฌาปนกิจเผาศพบนตะแกรงกลางแจ้งที่นั่น ในยุคนั้นยังไม่ได้มีเมรุเผาศพมิดชิดสวยงามเรียบร้อยอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน และด้วยผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมากพร้อมๆ กันจนมีกองศพมากมายที่เผาไม่ทัน จนเป็นเหตุให้ฝูงแร้งลงมากินศพ จึงเป็นที่มาของคำว่า “แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์”

แร้งวัดสระเกศ

มุมรูปปั้นจำลองเหตุการณ์เมื่อคราวห่าลง จนมีแร้งมารุมทึ้งจิกกินศพที่วัดสระเกศ

ที่มาของ ” เปรตวัดสุทัศน์”

เปรตวัดสุทัศน์

เปรตมีลักษณะสูงเท่าต้นตาล มือใหญ่เท่าใบลาน มีรูปร่างผอมจนเห็นซี่โครง ปากเท่ารูเข็ม มักส่งเสียงร้องโหยหวนหวีดหวิวขออาหาร นี่คือคำบรรยายลักษณะของเปรตที่ผู้ใหญ่มักบรรยายให้เด็กๆ ฟัง โดยในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ร่ำลือกันว่า มักจะพบผีเปรตกันแถววัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร จนบ้างก็บอกว่า เป็นเงาจากเสาชิงช้า เนื่องจากในยุคนั้นยังไม่ได้มีไฟฟ้าใช้ดั่งเช่นปัจจุบัน

หรืออาจเป็นเช่นได้ว่า เมื่อแรกเริ่มที่สร้างวัดขึ้นนั้น สร้างในดงต้นสะแกที่มีความสูงใหญ่ถึง 20 เมตร ในยามค่ำคืนที่ลมพัดแรง ก็ก่อให้เกิดเสียงหวีดหวิวจากช่องลมและใบไม้เสียดสีกัน และด้วยยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ก็ทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดจินตนาการกันไปได้ว่า ต้นสะแกนั้นคือ เปรต ที่กำลังออกมาขอส่วนบุญ

จิตรกรรมฝาผนัง

จิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวง วัดสุทัศน์ฯ

อีกบางที่มาก็เล่าว่า เปรตวัดสุทัศน์ อาจมีที่มาจากภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระวิหารหลวง วัดสุทัศน์ฯ เล่าเรื่องเปรตจากพระธรรมบท ในพระไตรปิฎก ที่มาขอส่วนบุญจากพระภิกษุสงฆ์ และด้วยความสูงใหญ่ทำให้เปรตต้องนอนลงเพื่อที่ให้พระภิกษุป้อนน้ำจากบาตรลงปากอันเล็กเท่ารูเข็ม ซึ่งเป็นสื่อการสอนให้พุทธศาสนิกชนเกรงกลัวต่อบาป ไม่ตีพ่อ ด่าแม่ ไม่ด่าบุพการีผู้มีพระคุณในยุคนั้นนั่นเอง

ยังมีเรื่องเล่ากันมาอีกว่าเวลาผ่านไปนับร้อยปีแต่เรื่องราวของเปรตวัดสุทัศน์ฯ ยังคงเป็นที่เลื่องลือจนมีคนไปฟ้องท่านเจ้าคุณสมเด็จพระสังฆราชแพ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช วัดสุทัศน์เทพวราราม ว่ามีเปรตออกมาเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้านในเวลากลางคืน จนท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ทนรำคาญไม่ไหว ท่านก็เสด็จฯ มาที่พระวิหารหลวง แล้วท่านก็มาพูดกับเปรตว่า อย่าไปเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้าน ถ้าไปหลอกหลอนชาวบ้าน จนมีคนมาฟ้องอีก จะขับไล่ไม่ให้อยู่ในวัด นับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีคนมาฟ้องท่านเจ้าคุณฯ อีกเลย

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีข้อสันนิษฐานในเชิงสังคมศาสตร์ ด้วยในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ทำเลย่านวัดสุทัศน์เป็นตลาดแห่งใหญ่ ทำให้มีคนจร ขอทานมาเร่ร่อนขอเงินอยู่มากมายรายล้อมรอบวัด ชาวบ้านร้านตลาดจึงเรียกเปรียบเปรยกันว่า เป็นเปรตวัดสุทัศน์ ก็เป็นได้

จาก “ประตูผี” สู่ “แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์” ล้วนเป็นสัจธรรมและกุศโลบายทางธรรม ที่สอนให้เราเห็นถึงความเป็นจริงของชีวิต ความตาย…ที่ไม่มีใครเลี่ยงพ้น หากแต่กรรม อันเป็นผลจากการกระทำเมื่อครั้งยังมีชีวิต จะเป็นตัวกำหนดเส้นทางที่เราจะไปต่อ…หลังความตายได้มาเยือนเราทุกคนไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ภาพโดย MTHAI TEAM

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

คืนนี้ปาร์ตี้ ฮาโลวีน ที่ไหนดี พร้อมวิธีเอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตุชุลมุน

จัดทริปมู วัดสุทัศนเทพวราราม ตำนานความศักดิ์สิทธิ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

เลขเด็ดฝันเห็นผี-เปรต ทำนายฝันผี-เปรต แม่นๆ