จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้หนึ่งในมาตรการที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกันคือ การรักษาระยะห่าง การเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชน ซึ่งนั่นกลายเป็นหนึ่งในตัวเร่งให้หลายออฟฟิศ ปรับตัวให้ทุกคนเริ่ม “ทำงานที่บ้าน” หรือ “Work from Home”
ผ่านมาเป็นระยะเวลากว่า ครึ่งปีแล้วที่โควิด-19 ยังคงระบาดอยู่ และแนวทางการทำงานที่ผ่านกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของหลายๆ คนไปแล้ว ทำให้แนวทางการทำงานที่เปลี่ยนไป
หลายคนรู้สึกว่า การทำงานที่บ้านเป็นทางเลือกที่ดีเนื่องจาก ไม่ต้องเสียเวลาการเดินทาง จากเดิมที่ต้องเคยตื่นตีห้า เพื่อไปให้ทันเข้างาน 09.00 น. กลายเป็นสามารถตื่น 07.00 น. และทำงานได้เหมือนเดิม เป็นต้น
แต่…
ในระยะเวลากว่า 3 เดือนหลังการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ และให้ประชาชนลดการเดินทาง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนทำงานที่บ้านมากขึ้น จากการพูดคุย-สัมภาษณ์ พนักงานหลายคนที่เปลี่ยนชีวิตมาทำงานที่บ้านในหลายๆ บริษัทเราก็พบว่า
การทำงานที่บ้านไม่ได้เหมาะเสมอไป
ความโดดเดี่ยวเข้าครอบงำ
สิ่งแรกที่พบหลังจากพูดคุยกับหลายๆ คน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่พักอาศัยอยู่ในคอนโดฯ คนเดียว จะให้ข้อมูลว่า ส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกแปลกๆ และจำนวนไม่น้อยรู้สึกเหงามากขึ้น ไม่ได้เจอเพื่อนร่วมงาน เหมือนเช่นเดิม
ส่งผลให้หลายคนบอกตรงกันว่า “คิดงานไม่ออก” โดยเฉพาะในกลุ่มบรรดาสายงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ที่มักจะใช้การนั่งล้อมวงคุยงาน และเสนอไอเดียกัน
ในการเก็บข้อมูลในหลายๆ ที่ของเราพบ 1 เคสที่น่าสนใจ
“ภาวะซึมเศร้ากำเริบ”
เราเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว ซึ่งปรกติก็กินยามาหลายเดือนแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไร ธ.ค.ที่ผ่านมาเราก็ยังไปดี๊ด๊า เค้าท์ดาวน์ปรกติ ไม่มีอะไร
พอมีให้ทำงานอยู่บ้านเมื่อช่วงปลายเดือน มี.ค. ก็ยังไม่มีอะไร แต่พอเม.ย. เริ่มรู้สึกว่าความรู้สึกเราดิ่งลงมากขึ้น นอนไม่หลับ จน พ.ค. คุณหมอตัดสินใจเพิ่มยา รวมถึงให้คำแนะนำมา เพื่อนๆ ก็ช่วยด้วย ทำให้ดีขึ้นแล้ว
นิรนาม-01
จากการพูดคุยพบว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจาการเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างกระทันหัน ทำให้เธอ ปรับตัวไม่ทันกับสิ่งที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยใช้ชีวิตในออฟฟิศ มีกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ ที่ทำงาน ทั้งการออกไปกินข้าว เล่น พูดคุย หรือการที่รู้สึกดีๆ เวลาแต่งหน้าและสวมชุดสวยๆ ออกไปทำงานในทุกๆ วัน
สิ่งเหล่านั้นหายไป กลายเป็นตื่นมาเพื่อเปิดโน้ตบุ๊ก ทำงานอยู่คนเดียวในคอนโดฯ เพียงคนเดียว สิ่งเหล่านี้ทำให้ “ความรู้สึกดิ่งลง” ได้เพิ่มมากขึ้น อาการปวดหัวบ่อยขึ้น ความรู้สึกอยากอยู่ในห้องมืดๆ เพิ่มมากขึ้น แทบไม่อยากเปิดผ้าม่าน
หลังจากที่เธอได้ออกไปพบหมอ ได้รับคำแนะนำ รวมถึงเพื่อนร่วมงานที่เข้ามามีส่วนช่วยในการลดความเครียด เช่น เปลี่ยนจากการประชุมออนไลน์เพียงอย่างเดียว เป็นกินข้าวออนไลน์ ร่วมกันบ่อยขึ้นในหลายๆ กิจกรรมมากขึ้น ทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้นกว่าการอยู่ในห้องนอน ทำงานเงียบๆ คนเดียว
ต้องบอกว่า เพื่อนๆ มีส่วนช่วยเยอะเหมือนกัน ทุกคนนัดกันมา join online meeting กันทุกเที่ยง หรือไม่ก็เย็นๆ ทุกวัน แม้ว่า มันจะไม่เหมือนบรรยากาศที่ออกไปกินข้าวด้วยกัน แต่อย่างน้อยมันก็มีอะไรให้เราทำ แบบตื่นเช้ามาแต่งหน้าเข้ากล้องอะไรงี้ 5555+
นิรนาม-01
ความเครียดสะสมมากขึ้น
“ใน 2-3 อาทิตย์แรกที่เริ่มทำงานที่บ้าน เรารู้สึกโอเคมากๆ กับการที่ไม่ต้องตื่นเช้า ฝ่ารถติดไปทำงาน รู้สึกว่ามีเวลาทำงานมาขึ้น
แต่ผ่านไปพอเริ่มเข้าเดือนที่สอง ยิ่งปลายเดือนด้วยแล้ว รู้สึกว่า เริ่มเบื่อสภาพแวดล้อมในห้อง ที่ต้องอยู่, ทำงาน, ประชุม กินข้าว ฯลฯ อยู่ ที่เดิมๆ ตลอด มันรู้สึกอึดอัดมาก
นิรนาม – 02
เราต้องยอมรับกันก่อนคือ “มนุษย์ถือเป็นสัตว์สังคม” ดังนั้นการพูดคุยและปฏิสัมพันธ์กัน จึงเป็นเรื่องสำคัญทีเดียว ดังนั้นในการทำงานที่บ้าน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อยู่คนเดียวในคอนโดฯ หรือในอพาร์ทเม้นต์ จึงเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตมากกว่า คนที่อาศัยอยู่บ้านร่วมกับผู้อื่นมากกว่า
สถานการณ์ที่คนเราจะต้องทำงาน ทานข้าว ประชุม อยู่ ณ จุดเดิมซ้ำๆ จึงกลายเป็นเรื่องซ้ำๆ ที่ทำให้หลายคนได้รับผลกระทบคือ รู้สึก Burn Out ได้ง่ายขึ้น สาเหตุหลักๆ เนื่องจากการที่ไม่ต้องออกเดินทาง จึงสามารถเริ่มงานได้ตั้งแต่เช้า จึงทำให้ระยะเวลาของการทำงาน ยาว และต่อเนื่องมากขึ้น
ยิ่งการใช้พื้นที่เดียวกันทั้งการพักผ่อน และทำงาน จึงทำให้หลายคนรู้สึกว่า มีการทำงานมากขึ้น ส่งผลให้รู้สึกเหนื่อยมากขึ้น ซึ่งพบว่า 41% ของพนักงานแบบ มีความเครียด เมื่อเทียบกับการทำงานที่ออฟฟิศที่มีเพียง 25% เท่านั้น
ซึ่งเมื่อเกิดภาวะความเครียดสะสมจะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว และกว่าจะรู้ตัวก็เริ่มมีอาการเช่น นอนไม่หลับตามมาในที่สุด
วิถีการทำงาน ปะทะ วิถีชีวิตในครอบครัว
ทำงานไปด้วย ดูลูกไปด้วย เรียกว่า วิกฤติทีเดียว ลูกก็กวน งานก็ด่วน ต้องจัดการได้ยากทีเดียว
นิรนาม -03
ในส่วนของคนที่อยู่บ้าน ร่วมกับสมาชิกในครอบครัวคนอื่น กลับมีปัญหาต่างไป จากคนอยู่คนเดียวในคอนโดฯ ซึ่งจะพบปัญหาการถูกรบกวนจากสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกและต้องเลี้ยงลูกเล็กไปด้วย เนื่องจากโรงเรียนยังไม่เปิดการเรียนการสอน หรือบางโรงเรียนที่มีการสลับกันเรียน
ซึ่งเด็กเล็ก ยังคงมีความยากเนื่องจากจะมีความไม่เข้าใจและแยกไม่ออกว่า ทำไมพ่อ-แม่ ไม่เล่นด้วยแม้จะอยู่บ้าน
ในขณะที่กลุ่มวัยที่เพิ่งเริ่มทำงาน กลับเจอปัญหาที่ต่างไป เมื่อเราเจอเคสที่ทางบ้านไม่เข้าใจในระบบของการทำงานที่บ้าน
แม่ถามทุกวันเลยแอด ว่าทำไมไม่ไปทำงาน? เค้าไล่ออกหรือยัง? เค้าไม่ได้จ้างออกแน่นะ?
ฯลฯ ซึ่งต้องใช้เวลาในการอธิบายเยอะเหมือนกันว่า #WFH คืออะไร เราทำงานยังไง ยังไม่นับในส่วนที่จะต้องบอกแม่ไว้ว่า ตอนไหนประชุม ตอนไหนทักได้-ไม่ได้ เพราะบางทีพอเราโดนทัก เราหลุดโฟกัส พอกลับมานั่งไล่ตัวเลขไหม นี่ใช้เวลาเพิ่มอีกนานเลยว่าเราทำถึงไหนแล้ว
นิรนาม – 04
เป็นอีกหนึ่งปัญหาในชีวิตวิถีใหม่ที่ทำงานที่บ้านแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งการอธิบายให้ผู้ใหญ่ที่บ้านที่เป็นคนในยุค Baby Boom เข้าใจในการทำงานที่บ้านที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคโควิด-19 นี้
ปัญหาอื่นๆ ที่พบจาก Work from Home
ในปัญหาใหญ่ๆ ที่ได้จากการสัมภาษณ์พูดคุยกับกลุ่มคนที่ต้องปรับเปลี่ยนไปทำงานที่บ้านยังคงพบปัญหาย่อยๆ ที่แม้ว่าไม่เครียดมากนัก แต่ก็ทำให้วิถีใหม่ไม่ราบรื่นอย่างที่คิด
กินเยอะ-ปัญหาน้ำหนักขึ้น-เคลื่อนไหวน้อยลง
หนึ่งในปัญหาทางด้านสุขภาพของกลุ่มคนทำงานที่บ้านผ่านมา 3 เดือนพบว่าหลายคนพูดถึงเรื่องของน้ำหนัก-การออกกำลังกาย เป็นหลัก ซึ่งปัญหาจากการที่นั่งทำงานเพิ่มขึ้น สามารถลุกไปกินจุบกินจิบได้มากขึ้น และเคลื่อนไหวร่างกายที่น้อยลง
ความไม่พร้อมของอุปกรณ์
หลายคนพร้อมให้ข้อมูลคล้ายๆ กันว่า เมื่อต้องไปทำงานที่บ้าน ทำให้หลายๆ อย่างขาดหายไป เช่น การทำงานพร้อมกัน 2 จอ ต้องลดลงมาเป็นจอเดียวบนโน้ตบุ้กส่วนตัว ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานหลายลงไปอย่างมาก หรือการตรวจงาน/เอกสารบางอย่างที่จำเป็นจะต้องพริ้นต์ออกมาอ่านทวนซ้ำอีกครั้ง ทำให้สิ่งที่ขาดหายไป ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานลดลง
แรงบันดาลใจ/ความสร้างสรรค์ ที่ขาดหายไป
ในหลายกลุ่มงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ จะพบปัญหาของการที่จะต้อง “เค้น” ความคิดมากขึ้นเพื่อสร้างสรรค์งาน เนื่องจากเดิมสามารถจับกลุ่มพูดคุย-แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อหาไอเดียทำได้ยากขึ้น การพูดคุยผ่าน Video Call ก็ช่วยได้เพียงแก้ขัดบางอย่างเท่านั้น แต่ไม่ได้ง่ายเช่นเดิม
ซึ่งนอกจากนี้ ยังทำให้มีปัญหาการสื่อสารกันระหว่างทีมงานอีกด้วย แม้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็ยังมีปัญหาความเกรงใจที่จะต้องคิดเยอะกว่าปรกติในการ “โทร” หาใครสักคนนึงเพื่อคุยงาน
วันหยุดที่เปลี่ยนไป-ไลน์ที่เด้งตลอดเวลา
เมื่อการทำงานที่บ้านเกิดขึ้น ทำให้หลายคนพบว่า ปัญหาของวันหยุดกับวันทำงานเกิดความชุลมุนและสับสนกันไม่น้อย ทำให้หลายคนให้ข้อมูลตรงกันโดยเฉพาะไลน์ ที่พบว่า มีการเด้งมากกว่าปรกติ ในนอกเวลาการทำงาน ซึ่งแต่เดิมสมัยทำงานในออฟฟิศ จะไม่ค่อยมีไลน์เด้ง นอกเวลามากนัก แต่เมื่อเปลี่ยนวิถีมาทำงานที่บ้าน กลับพบว่า ไลน์ หรือแชทอื่นๆ ถูกทัก-ถาม-ทวงงานนอกเวลางานปรกติมากขึ้น
บทสรุป :
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเปลี่ยนในการทำงานที่บ้านนั้น ส่งผลกระทบต่อใครหลายๆ คน โดยเฉพาะปัญหาด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพจิต ที่เป็นประเด็นที่น่าสนใจ และส่งผลกระทบต่อใครหลายๆ คนได้ง่าย ดังนั้น การปรับตัวให้เข้ากับชีวิตวิถีใหม่ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเข้าใจ และร่วมกันแก้ปัญหา เพราะโควิด-19 ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของเราไปแล้ว และอาจจะไม่มีวันย้อนกลับมา
ข้อมูล :
– http://www.ilo.org
– Coronavirus Covid-19 Social Distancing Psychological Fallout
– Working from Home Your Common Challenges and How-to tackle them