EXIM BANK สานพลังพันธมิตรเดินเกมเปลี่ยนประเทศไทย สร้าง Smart Farmers เข้าสู่ Supply Chain การส่งออก

ความท้าทายในปัจจุบันของเศรษฐกิจไทย นอกจากไทยจะมีจำนวนนักรบเศรษฐกิจน้อยแล้ว ยังเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากการที่ไทยยังอยู่ในอุตสาหกรรมเดิม เกษตรแบบเก่า และภาคบริการที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยในภาคเกษตร อายุเฉลี่ยของแรงงานภาคเกษตรไทยอยู่ที่ 58 ปี สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจได้ไม่มากนัก สังเกตได้จากจำนวนแรงงานในภาคเกษตรที่มีถึง 30% ของจำนวนแรงงานทั้งหมด ขณะที่สัดส่วน GDP…

Home / TELL / EXIM BANK สานพลังพันธมิตรเดินเกมเปลี่ยนประเทศไทย สร้าง Smart Farmers เข้าสู่ Supply Chain การส่งออก

ความท้าทายในปัจจุบันของเศรษฐกิจไทย นอกจากไทยจะมีจำนวนนักรบเศรษฐกิจน้อยแล้ว ยังเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากการที่ไทยยังอยู่ในอุตสาหกรรมเดิม เกษตรแบบเก่า และภาคบริการที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยในภาคเกษตร อายุเฉลี่ยของแรงงานภาคเกษตรไทยอยู่ที่ 58 ปี สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจได้ไม่มากนัก สังเกตได้จากจำนวนแรงงานในภาคเกษตรที่มีถึง 30% ของจำนวนแรงงานทั้งหมด ขณะที่สัดส่วน GDP ของภาคเกษตรต่อ GDP รวมมีเพียงราว 10% สินค้าเกษตรส่งออกของไทยกระจุกตัวอยู่ที่สินค้าเกษตรต้นน้ำซึ่งมีมูลค่าเพิ่มไม่สูงนักและมีอำนาจต่อรองต่ำ อาทิ ยางพาราแปรรูปขั้นต้น ซึ่งไทยส่งออกในสัดส่วนถึง 30% ของมูลค่าส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยาง ขณะที่มาเลเซียส่งออกเพียงราว 5% และไปเน้นส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง อาทิ ถุงมือยาง ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูงกว่า

แม้ประเทศไทยจะได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารรายใหญ่ 1 ใน 10 ของโลก แต่ภาคเกษตรของไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันค่อนข้างต่ำและมีการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน เกษตรกรส่วนใหญ่จึงขาดความมั่นคงทางรายได้ มีความผันผวนตามฤดูกาล ทำให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรต่ำกว่าอาชีพอื่น 

ดร.รักษ์  วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลให้ความสำคัญและเร่งแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เนื่องจากภาคเกษตรเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จึงมีแนวทางการพัฒนาภาคเกษตรกรรมให้เข้มแข็งด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรแบบครบวงจร เพื่อยกระดับเกษตรกรไทยเป็น “เกษตรกรอัจฉริยะ (Smart Farmers)” ด้วยการระดมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน  ขยายการตลาดไปสู่ตลาดออนไลน์ และพัฒนาเกษตรรุ่นใหม่ด้วยนวัตกรรม

EXIM BANK ได้ดำเนินแนวนโยบาย Dual-track Policy กล่าวคือ ดำเนินบทบาท “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (Thailand Development Bank)” ควบคู่กับการเป็น “ศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศให้แก่ SMEs (One Stop Trading Facilitator for SMEs)” เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนของประเทศไทย และมุ่งพัฒนาภาคเกษตรไทย ตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้นโยบายซ่อม สร้าง เสริม และสานพลัง 

ซ่อม… เกษตรเก่าให้เป็นเกษตรแกร่ง  :  EXIM Biz Transformation Loan
สร้าง… ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรหน้าใหม่  และช่องทางใหม่ๆ :  Exim Thailand Pavilion,  Business Matching facilitate by EXIM BANK REP.
เสริม… เกราะป้องกันให้ผู้ส่งออกสินค้าเกษตร  :  บริการประกันการส่งออก
สานพลัง… ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อยกระดับเกษตรไทย

ดร.รักษ์ กล่าวว่า  EXIM BANK ได้ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรหลายแห่ง อาทิ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) สานพลังนำจุดแข็งของแต่ละองค์กรมาบูรณาการความร่วมมือพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจเกษตรให้ขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่ปลายน้ำมากขึ้นเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรธรรมดาให้มีมูลค่าสูงขึ้นและสามารถส่งออกได้ 

กรณีศึกษาเช่น การที่ EXIM BANK เข้าไปสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนแปรรูปสมุนไพรปลูกรัก จ.ตาก ภายใต้บทบาทการเป็นศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศให้แก่ SMEs โดยให้คำปรึกษาเชิงลึก แนะนำด้านสินเชื่อและประกันการส่งออก ทำให้เกษตรกรมีความมั่นใจในการเจรจาซื้อขายและเริ่มต้นธุรกิจส่งออก ได้รับคำปรึกษาเรื่อง L/C ภายหลังได้รับคำสั่งซื้อขมิ้นชันสดจากเยอรมนี  ได้รับการต่อยอดความรู้เรื่องการส่งออก โดย EXIM BANK ลงพื้นที่ไปบ่มเพาะความรู้  ให้วงเงินสินเชื่อ ให้การประกันการส่งออก และบริการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่เรียกว่า Foreign Exchange Forward Contract รวมทั้งสนับสนุนด้านการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์และส่งเสริมให้ค้าขายทางช่องทางออนไลน์ผ่าน EXIM Thailand Pavilion บน E-Commerce ชั้นนำระดับโลก ล่าสุดเกษตรกรได้จดทะเบียนบริษัทและส่งออกขมิ้นชัน Lot แรกไปเยอรมนี ได้รับชำระเงินค่าสินค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วจำนวน 1 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมส่งออก Shipment ต่อๆ ไปมูลค่า 9 ล้านบาท 

อีกหนึ่งตัวอย่างที่ได้สานพลังช่วยผลักดันคือ บริษัท วันเวนเชอร์ จำกัด ที่เริ่มจากปัญหายุงกวนใจ และป่วยเป็นไข้เลือดออก นำมาสู่แรงบันดาลใจในการพัฒนานวัตกรรมกันยุงในรูปแบบของสติกเกอร์กันยุง ภายใต้แบนรด์ BUG Guard ก่อนจะค่อยๆ ต่อยอดจนมาเป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุด คือ สติกเกอร์หัวหอมที่ช่วยบรรเทาหวัดและคัดจมูก ซึ่งบริษัทเป็นรายแรกของโลกที่ผลิตสติกเกอร์ดังกล่าวโดยใช้สารจากธรรมชาติ 100% ภายใต้แบรนด์ Happy Noz 

บริษัทได้รับความช่วยเหลือจาก EXIM BANK ในด้านการ “เสริม ขยาย เพิ่ม”  

  • เสริมทุน EXIM BANK เป็นธนาคารหลักแห่งเดียวที่สนับสนุนเงินลงทุนและเงินหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ  
  • ขยายตลาด บริษัทต้องการเปิดตลาดในประเทศกัมพูชาและเวียดนาม EXIM BANK จึงมีโครงการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับผู้ซื้อที่มีศักยภาพในประเทศดังกล่าว 
  • เพิ่มประสิทธิภาพ EXIM BANK พร้อมพิจารณาสนับสนุนการติดตั้งแผงโซลาร์ ซึ่งบริษัทมีแผนจะติดตั้งเป็นพลังงานทางเลือก เพื่อลดการปล่อยก๊าซ CO2 และมีแผนจะติดตั้ง Solar Rooftop บนโรงงานแห่งใหม่อีกด้วย

ผลจากการที่ EXIM BANK สนับสนุนให้ผู้ประกอบการในธุรกิจเกษตรขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่ปลายน้ำมากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ หรือเป็นการปรับจากการทำธุรกิจแบบ “ทำมาก ได้น้อย” เป็น “ทำน้อย ได้มาก”  ทำให้ราคาขมิ้นชันสด จาก 18 บาทต่อกิโลกรัม เปลี่ยนเป็นผงขมิ้นชันราคา 180-200 บาทต่อกิโลกรัม และสารสกัดจากขมิ้นชัน 8,000 บาทต่อกิโลกรัม  หรือหัวหอมแดงสดจากราคา 30 บาทต่อกิโลกรัม เปลี่ยนเป็นน้ำมันหัวหอมแดงราคา 8,000-10,000 บาทต่อกิโลกรัม และเมื่อแปรรูปเป็นสติ๊กเกอร์หอมหัวใหญ่ได้ถึงราคา 50,000 บาทต่อหนึ่งกิโลกรัมน้ำมันหอมแดง

“ผลในเชิงประจักษ์ที่ EXIM BANK สานพลังกับพันธมิตรผลักดัน SMEs ไทย ไปสู่ตลาดโลก นำเรือเล็กออกจากฝั่งได้สำเร็จ ทำให้ได้รับรางวัลความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาดีเด่น ประเภทดีเด่น 2 ปีซ้อนในปี 2563 และ 2564 จากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)  กระทรวงการคลัง ” ดร.รักษ์ กล่าว 

ทั้งนี้ EXIM BANK พร้อมเป็นกัปตันนำกองเรือไทยลุยตลาดส่งออก ด้วยการตอบโจทย์ทุกมิติ ทุกความต้องการ ตลอดวงจรการค้า คือ ตกแต่งเรือ เตรียมความพร้อมก่อนออกลุยน่านน้ำ ด้วย Grooming Program ทั้งบ่มเพาะ ต่อยอด และสร้างโอกาส อีกทั้งเสริมเครื่องยนต์เรือให้สุดแรง ไปได้ไกล ไม่สะดุด ด้วย Exclusive Financial Program คือ Product Program พร้อมเสิร์ฟทุกวิกฤตและโอกาส

  • สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อซัพพลายเออร์ส่งออก วงเงินสูงสุด 5 ล้านบาทต่อราย ดอกเบี้ย Prime Rate (เท่ากับ 5.75% ต่อปี ณ ปัจจุบัน) ตลอดอายุโครงการ 5 ปี 
  • สินเชื่อ EXIM Logistics วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย ดอกเบี้ยต่ำสุด 5.0% ในปีแรก
  • สินเชื่อเอ็กซิม ลุยตลาด RCEP วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาทต่อราย ดอกเบี้ยต่ำสุด 2.75% ในปีแรก สำหรับการส่งออกไปยังประเทศสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP)
  • สินเชื่อสำหรับผู้ส่งออกหน้าใหม่ เช่น สินเชื่อเพื่อผู้ส่งออกป้ายแดง ที่ผู้ส่งออกหน้าใหม่เข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น วงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำสุด 5% โดยใช้เพียงบุคคลค้ำประกันหรือหนังสือค้ำประกันจาก บสย. 
  • EXIM Biz Transformation Loan วงเงินสูงสุด 100 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำสุด 2% ต่อปี สำหรับอัพเกรดธุรกิจ ด้วยการซื้อเทคโนโลยี เครื่องจักร ซอฟต์แวร์ ใหม่ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า

นอกจากนี้ ธนาคารมีเรือยางพร้อมชูชีพ อุ่นใจ ไร้กังวล ด้วย Risk Protection Program  คือ บริการประกันการส่งออก คุ้มครองความเสี่ยงให้สูงสุดถึง 90% ของความเสียหายที่เกิดขึ้น และบริการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ซื้อ/ธนาคารผู้ซื้อ ประเมิน Profile ของผู้ซื้อ/ธนาคารผู้ซื้อ ประกอบการตัดสินใจของผู้ส่งออก  มีบริการป้องกันความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน และมีบริการด้านการลงทุน เช่น สินเชื่อโครงการลงทุนในต่างประเทศ โดย EXIM BANK สามารถสนับสนุนเงินทุนได้หลายสกุลเงิน เช่น USD, EUR, JPY ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ประกอบการและเงื่อนไขในการลงทุน  และบริการประกันการลงทุน คุ้มครองความเสี่ยงทางการเมืองแก่โครงการลงทุนของผู้ประกอบการไทยในต่างประเทศ

ด้วยบริการครบวงจรจาก EXIM BANK ภาคเกษตรของไทยจึงมีความหวังจะได้รับการเตรียมพร้อมสู่การ Transform กระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับกฎระเบียบและความท้าทายใหม่ ๆ ของโลกยุค Next Normal รวมถึงเทรนด์ของโลกที่มุ่งเน้นสินค้าที่ตอบโจทย์ Green, Digital, Health เพื่อโลกที่น่าอยู่ขึ้น ความสะดวกสบายในการดำรงชีวิตเพิ่มมากขึ้น และสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นของผู้คนบนโลกใบนี้