ประเด็นสำคัญ
- สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในยุโรปกำลังพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง
- หากจำกันได้ ปลายปี 2563 ยุโรปและอเมริกา ก็เกิดการระบาดครั้งใหญ่ แต่ในขณะนี้ เส้นกราฟของปี 64 แซงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว
- แม้คนส่วนใหญ่จะฉีดวัคซีนไปแล้ว แต่กลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีนก็มีมากพอที่จะส่งผลกระทบให้เกิดการระบาดใหญ่ได้
- ท่ามกลางปัญหาความเชื่อเรื่องวัคซีน ข่าวปลอม ทำให้รัฐบาลหลายประเทศออกมาตรการเข้มขึ้น และนั่นนำไปสู่การประท้วงและเหตุรุนแรง
- นักวิชาการประเมินว่า สถานการณ์เลวร้ายที่สุดคือ ในยุโรป 19 ประเทศนั้น จะมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 อีกนับแสนราย
…
สถานการณ์การระบาดในหลายประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา กำลังเผชิญหน้ากับการระบาดระลอกใหม่ ท่ามกลางฤดูหนาวที่กำลังเข้าสู่ช่วงปลายปี ซึ่งเป็นวันหยุดเทศกาลต่อเนื่อง ยิ่งทำให้ “ความเสี่ยงในการระบาด” มีสูงมากยิ่งขึ้นไปอีก และเมื่อต้องเจอกับกลุ่มผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 นั่น ยิ่งทำให้หลายประเทศกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าในปีที่ผ่านมาเสียอีก
จากผู้ปฏิเสธวัคซีน เป็นพาหะไปสู่ผู้รับวัคซีน
ในการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 โดยเฉพาะในสายพันธุ์กลายพันธุ์ “เดลต้า” ที่ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่องไปทั่วโลก ผู้ป่วยที่พบส่วนใหญ่ในขณะนี้ เป็นการพบการติดเชื้อในสายพันธุ์นี้เป็นหลัก ด้วยความสามารถในการแพร่กระจายได้เร็ว เพิ่มจำนวนได้เร็ว และผู้ป่วยในระยะแรกส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ หรืออาการเบา
ซึ่งเมื่อผู้ที่รับเชื้อเหล่านี้ ติดเชื้อและไม่ทราบว่า ตนเองติดเชื้อ จึงนำเชื้อไปแพร่สู่คนอื่น ๆ ต่อไปได้อย่างมากมาย กลายเป็นยอดผู้ติดเชื้อก็จะเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับเส้นทางขึ้นสู่ยอดเอเวอร์เรส ที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดตรงไหน
…
…
หลายประเทศในยุโรปเผชิญหน้าอยู่กับสงครามแห่งความเชื่อที่ว่า “วัคซีนนั้นเป็นอันตราย” การฉีดวัคซีนเท่ากับการฉีดเชื้อโรคเข้าไป ฯลฯ ความเชื่อเหล่านี้ ส่งผลให้อัตราการฉีดวัคซีนในหลายประเทศทางยุโรป และอเมริกาไม่ได้มากเท่าที่ควรจะเป็น ทำให้ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ แม้ว่าประเทศเหล่านั้นจะมีวัคซีนเพียงพอให้ประชาชนสามารถเดินเข้ารับวัคซีนได้ไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการเปลี่ยนความเชื่อที่ผิด ๆ เหล่านั้น
หลายประเทศมีการสร้างแรงกระตุ้นในการฉีดวัคซีนทั้งไม้อ่อน เช่นการให้รางวัลหรือสิ่งตอบแทนสำหรับผู้เข้ารับวัคซีน รวมกับการใช้ไม้แข็งอย่างเช่น มาตรการการบังคับใช้วัคซีนพาสสปอร์ต, กรีนพาส สำหรับการเข้าใช้บริการสถานที่ สถานบริการ รวมถึงขนส่งสาธารณะด้วย
แต่จะเห็นว่า จำนวนของผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดสในฝั่งยุโรป-อเมริกา มีแนวโน้มที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา และด้วยอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นไม่มากเท่าที่ควร นั่นทำให้การจำกัดวงของการระบาดเริ่มทำได้ยากขึ้น
…
…
ซึ่งจะเห็นว่า อัตราการครอบคลุมของวัคซีนเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของในแต่ละ ของฝั่งยุโรปนั้นอยู่มีอัตราการครอบคลุมในขณะนี้อยู่ที่ราวเกือบ ๆ 70% ของจำนวนประชากร ในขณะที่อิตาลีครอบคลุมอยู่ที่ 77.8% ของจำนวนประชากร
โดยสิ่งหนึ่งที่เผชิญอยู่ในยุโรป – อเมริกาในขณะนี้คือ มาตรการการป้องกันที่น้อยลงจากการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ในช่วงก่อนหน้านี้ และทำให้การระบาดเกิดขึ้นในกลุ่มผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนสูงขึ้นต่อเนื่อง
ในขณะที่ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว บางส่วนก็ได้รับผลจากการระบาดดังกล่าวนี้ด้วย ทำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วบางส่วนติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ที่มีภูมิคุ้มกันไม่มากพอเช่นเดียวกับคนวัยหนุ่มสาว หรือในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนนานเกิน 6 เดือน ที่ระดับภูมิคุ้มกันเริ่มลดลง
ผู้ฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อได้ แต่ไม่เหมือนกับผู้ที่ไม่ฉีด
ผลงานศึกษากลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจำนวน 602 ราย ที่มีประวัติเป็นผู้สัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 471 ราย พบว่า ในการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีเชื้อไวรัสกระจายอยู่นั้น ในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีน และผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน แม้ว่าจะได้รับปริมาณของเชื้อไวรัสในระดับที่สูงใกล้เคียงกันก็ตาม แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว จะสามารถกำจัดเชื้อไวรัสเหล่านั้นออกจากร่างกายได้มากว่า และเร็วกว่า
ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วมีโอกาสการแพร่เชื้อที่ต่ำกว่า หรือมีอาการป่วยได้น้อยกว่า รวมถึงมีโอกาสในการหายป่วยได้เร็วกว่า ผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีน
ในการศึกษาในขณะนี้พบว่า อัตราการป่วยของผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วนั้นอยู่ที่ราว 0.2 – 0.4% ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของแต่ละคนได้ราว 10 เท่า และในกรณีที่ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว 2 รายอยู่ร่วมกัน นั่นสามารถลดความเสี่ยงได้มากขึ้นไปอีกเป็น 20 เท่าเลยทีเดียว
แม้ว่า ระดับความเสี่ยงเหล่านี้ แปรผันไปตามระดับการป้องกันตัวของแต่ละบุคคล กิจกรรมที่ทำร่วมกัน รวมถึงระยะเวลาที่ทำร่วมกันอีกด้วย แต่การฉีดวัคซีนที่มีใช้งานกันในขณะนี้ ก็ยังคงช่วยลดอัตราการป่วย การระบาด รวมถึงการเสียชีวิตได้มากกว่า อีกทั้งยังช่วยให้อัตราการหายป่วยออกจากโรงพยาบาล-ห้องไอซียูได้มากขึ้น ส่งผลต่อระบบสาธารณสุขที่สามารถรองรับได้ดีกว่าอีกด้วย
…
คาดการณ์ อาจจะเสียชีวิตอีกนับแสน
ในสถานการณ์ที่กำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ อัตราการฉีดที่ยังไม่มากพอ ร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีการผ่อนคลายในช่วงที่ผ่านมาทำให้อัตราผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศทางฝั่งยุโรป – อเมริกาเพิ่มสูงขึ้น
ผลการศึกษาคาดการณ์ว่า ในช่วงฤดูหนาวในปี 2564 นี้ ยอดผู้ป่วยโควิด-19 ในยุโรปที่ต้องเข้ารักษาตัวในสถานพยาบาลอาจจะสูงได้ถึง 1 ล้านคน ยิ่งมาตรการการป้องกันส่วนบุคคลยิ่งลดลงเท่าใด นั่นหมายถึงอัตราการป่วยและเสียชีวิตก็จะเพิ่มสูงขึ้น
โดยผู้เชี่ยวชาญคาดว่า การระบาดและจำนวนผู้เสียชีวิตที่จะพุ่งสูงขึ้นนั้นมีความเป็นไปได้และใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อาจจะมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในกลุ่มประเทศยุโรปได้ถึง 3 แสนราย ทั้งผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีน ผู้ที่เคยติดเชื้อแล้ว และรวมไปถึงผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว
โดยก่อนหน้านี้ ในประเทศสิงคโปร์ แม้ว่ามีอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครอบคลุมประชากรกว่า 80% แล้ว นำไปสู่มาตรการการผ่อนคลาย และแนวนโยบายอยู่ร่วมกับโควิด-19 ออกมา เพื่อให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปรกตินั้น พบว่า อัตราการติดเชื้อในกลุ่มผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจะได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้วก็ตาม เนื่องจากกลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้ มีระดับภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอกว่าคนวัยหนุ่มสาว โดยติดจากสมาชิกในครอบครัว หรือคนวัยทำงานที่จำเป็นต้องออกจากบ้าน
แต่ในกลุ่มผู้สูงอายุนั้นต่างออกไป ทำให้มีการพบการติดเชื้อในกลุ่มนี้ได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบอัตราการป่วยหนัก-เสียชีวิตระหว่างผู้ที่ได้รับวัคซีน และไม่ได้รับวัคซีนแล้ว ก็ยังพบว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนนั่นเอง
หรืออย่างในสหรราชอาณาจักร หรืออิตาลี ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนค่อนข้างสูง ก็จะเห็นว่า แม้อัตรการติดเชื้อจะมากขึ้น แต่อัตราการเสียชีวิต / ป่วยหนัก ไม่ได้พุ่งสูงขึ้นเท่ากับระลอกก่อนหน้านี้ แม้จะมีจำนวนสูงขึ้นก็ตาม
…
สงครามความเชื่อ-ต่อต้านวัคซีน
หนึ่งในปัญหาของการระบาดที่เกิดขึ้น มีแรงขับเคลื่อนมาจากความเชื่อ ข่าวปลอมที่เกิดขึ้นและทำให้ชาวยุโรปจำนวนมาเลือกที่ปฏิเสธการเข้ารับวัคซีนด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา เช่น
- วัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่ปลอดภัย
- วัคซีนไม่มีผลในการป้องกันโรค
- เป็นเรื่องที่สำหรับใช้หาเงินให้กับบริษัทยาและนักการเมืองที่คอรัปชั่น
- ต้องการใช้วัคซีนในการควบคุม และจำกัดเสรีภาพ
- ตนเองมีร่างกายที่แข็งแรงพอ สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ และไม่เคยป่วยมาก่อน
- สื่อโซเซียลทำให้โรคนี้ดูรุนแรง และสื่อฯ ก็นำมาเสนอทำให้โรคระบาดเกินจริงไปอย่างมาก
- ฯลฯ
หลากหลายเหตุผลที่ทำให้หลายเมืองกลายเป็นพื้นที่การระบาดเกิดขึ้น เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำกว่า เมื่อร่วมกับการเดินทางไปมาระหว่างประเทศ ระหว่างพื้นที่ในยุโรปที่ทำได้ง่าย จึงกลายเป็นการระบาดสามารถกระจายไปยังพื้นที่ที่อยู่ติดกันได้ง่ายขึ้น
กลุ่มต่อต้านวัคซีนหรือ Anti-Vax ในยุโรป รวมถึงอเมริกานั้นมีมานานแล้ว แม้ว่าไม่ได้เป็นส่วนใหญ่ของจำนวนประชากรก็ตาม แต่ก็มีจำนวนมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อการระบาด ร่วมกับการมีผู้นำฝ่ายต่าง ๆ เข้ามานำขบวนเรียกร้องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จึงกลายเป็นปัญหาที่ซ้อนทับกันและแก้ไขได้ยากขึ้น และนำไปสู่การละเลยมาตรการป้องกันต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานง่าย ๆ เช่น การสวมหน้ากาก
ในเยอรมนี นางอังเกลา แมร์เคิล อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ของเยอรมนี เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวในทุก ๆ 12 วัน และสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศในยุโรปหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เยอรมนี, ออสเตรีย, เนเธอร์แลนด์ รายงานสถิติผู้ป่วยรายใหม่ในรอบวัน สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้นในประเทศ
ทางด้านของนายเยนส์ ชพาห์น (Jens Spahn) รัฐมนตรีสาธารณสุขเยอรมนี ก็ได้กล่าวตอบโต้กระแสการต่อต้านการฉีดวัคซีนว่า
“จะฉีดวัคซีนแล้วรักษาหาย หรือ ตาย”
…
มาตรการสู่จราจล
ซึ่งจากเหตุผลทางด้านสาธารณสุข ทำให้รัฐบาลของหลายประเทศได้มีการประกาศมาตรการป้องกันการระบาดของโควิด-19 เพื่อบังคับใช้ ไม่ว่าจะเป็น การให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเข้ารับวัคซีน, การล็อกดาวน์เพื่อลดการเดินทาง, การจำกัดจำนวนการรวมกลุ่ม, การใช้ Green Pass เพื่อแสดงตัวสำหรับใช้บริการต่าง ๆ ในที่สาธารณะหลายแห่ง รวมถึงภาคขนส่งด้วย
มาตรการที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจเกิดขึ้น และนำไปสู่การออกมาชุมนุมเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่อ้างถึงสิทธิในร่างกายที่จะต้องเลือกในการฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนได้ เสรีภาพในการที่จะเกิดทางหรือเข้าใช้บริการสถานที่ต่าง ๆ ได้โดยไม่ถูกจำกัดจากการใช้ Green Pass
ในขณะที่ร้านค้าจำนวนไม่น้อย ก็สวนกระแสนโยบายที่เกิดขึ้นโดยการเปิดให้บริการโดยไม่เกี่ยงว่า เป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วหรือไม่ โดยระบุว่า “ร้านค้านี้ตอนรับทุกคน ไม่ว่าเป็นผู้ที่ฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนก็ตาม เราก็จะต้อนรับคุณในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง”
ซึ่งจากสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นทำให้ หลายฝ่ายก็แสดงความกังวลว่า เรากำลังเผชิญการระบาดระลอกใหม่ที่ใหญ่ขึ้น และควบคุมได้ยากขึ้น เช่นสิ่งที่เกิดขึ้นในเนเธอร์แลนด์ มีการประท้วงและเกิดเหตุที่รุนแรงมากขึ้น
…
ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์ในยุโรปในขณะนี้ ยังมีแนวโน้มที่จะยังคงวุ่นวาย และมีความเสี่ยงในการระบาดที่เกิดได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังวันหยุดเทศกาลต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น วันขอบคุณพระเจ้า, วันคริสมาส และวันขึ้นปีใหม่ ที่กำลังจะมาถึง
ซึ่งหากย้อนกลับไปดูสถานการณ์เมื่อช่วงปี 2563 ที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า สถานการณ์การระบาดในใหญ่ในยุโรป อเมริกา ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในช่วง ต.ค. – ธ.ค. เป็นหลัก ดังนั้นในปี 2564 นี้ แม้ว่าจะมีวัคซีนใช้งานกันแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์ในยุโรปนั้นคงยังอีกยาวไกลทีเดียว โดยเฉพาะการต่อสู้กันระหว่างความเชื่อในเรื่องวัคซีน-ไวรัส และนั่นก็หมายถึง ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ข้อมูล
- https://doi.org/10.1038/d41586-021-03455-w
- https://www.thelancet.com/journals/laninf/article/PIIS1473-3099(21)00648-4/fulltext
- https://www.medrxiv.org/content/10.1101/2021.09.28.21264262v2.full
- https://www.cdc.gov/mmwr/volumes/70/wr/mm7031e2.htm?s_cid=mm7031e2_w
- https://www.healthline.com/health-news/vaccinated-people-may-be-even-less-likely-to-transmit-covid-19-than-previously-thought
- https://www.thelancet.com/journals/laninf/article/PIIS1473-3099(21)00460-6/fulltext
- https://spiral.imperial.ac.uk/bitstream/10044/1/90800/2/react1_r13_final_preprint_final.pdf
- https://www.medrxiv.org/content/10.1101/2021.11.10.21266166v1
- https://www.nytimes.com/2021/11/17/world/europe/covid-vaccine-germany-europe.html