ปวดท้อง สุขภาพ

ปวดท้องบิด ต้องอ่าน! ดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อเป็น โรคบิด

โรคบิด (Dysentery) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันของลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ บิดชิเกลลา (Shigellosis) หรือบิดไม่มีตัว และบิดอะมีบา (Amebiasis) หรือบิดมีตัว ผู้ที่เป็นมักจะรู้สึไม่สบายท้อง หรือ…

Home / HEALTH / ปวดท้องบิด ต้องอ่าน! ดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อเป็น โรคบิด

โรคบิด (Dysentery) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันของลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ บิดชิเกลลา (Shigellosis) หรือบิดไม่มีตัว และบิดอะมีบา (Amebiasis) หรือบิดมีตัว ผู้ที่เป็นมักจะรู้สึไม่สบายท้อง หรือ ปวดท้องบิด อย่างรุนแรง

บิดชิเกลลา (Shigellosis) หรือบิดไม่มีตัว

เกิดจากการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่มีเชื้อ  บิดชิเกลลา (Shigella) ซึ่งเป็นแบคทีเรีย เชื้อเมื่อเข้าสู่ร่างกายเพียงเล็กน้อย  ประมาณ 200 – 1,000 ตัว ก็สามารถก่อให้เกิดโรคได้ ซึ่งต่างจากเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินอาหารชนิดอื่น ๆ ที่ต้องใช้ปริมาณมากกว่า  เชื้อแบ่งตัวและสามารถทำลายเซลล์เยื่อบุลำไส้ใหญ่ เมื่อเซลล์ตายจะทำให้เกิดการอักเสบ เป็นหนองและเกิดแผลในลำไส้  โรคบิดมีระยะฟักตัว 1 – 7 วัน พบในคนทุกเพศทุกวัย และพบเป็นสาเหตุอันดับแรก ๆ ของอาการถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือด ส่วนมากไม่มีอันตรายร้ายแรง อาการไข้จะหายเองภายใน 2 – 3 วัน และอาการท้องเดินเป็นบิดจะหายได้เองภายใน 5 – 7 วัน (โดยไม่ได้กินยา) แต่บางคนอาจกลับเป็นใหม่ได้อีก ส่วนน้อยอาจมีอาการรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กและคนสูงอายุ  ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงอาจถึงตายได้

ปวดท้องบิด

อาการของบิดไม่มีตัว

  1. ไม่มีอาการใดๆ เลย แต่จะรู้สึกไม่สบายท้อง เพราะมีเชื้อแบคทีเรียอยู่ในลำไส้
  2. มีอาการน้อย ถ่ายเหลวเป็นมูกเลือด และปวดบิดแต่ไม่มาก
  3. มีอาการรุนแรง ปวดท้องบิดอย่างรุนแรง มีไข้สูง อาเจียน ถ่ายมีมูกเลือดและหนองปน ถ่ายน้อยแต่บ่อยมาก ถ้าร่างกายอ่อนแอ อาจจะมีการช็อคได้
  4. โรคแทรกซ้อน เชื้อโรคเข้าไปยังกระแสเลือด ทำให้เลือดนั้นเป็นพิษ อาจช็อคจนเสียชีวิตได้ ลำไส้ใหญ่มีการอักเสบอย่างรุนแรง เกิดอาการเสียน้ำอย่างมากจนช็อคและเสียชีวิตได้

บิดอะมีบา (Amebiasis) หรือบิดมีตัว

เกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้ออะมีบา (Ameba) ซึ่งเป็นสัตว์เซลล์เดียวหรือโปรโตซัว (protozoa) ทำให้เกิดอาการอักเสบของลำไส้ใหญ่ เชื้อที่ทำให้เกิดโรคอะมีบา มีชื่อว่า เอนตามีบา ฮิสโตไลติคา (Entamoeba histolytica) ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ จึงเรียกบิดมีตัว พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่พบมากในคนอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป ระยะฟักตัว 1 สัปดาห์ – 3 เดือน (พบบ่อย 8-10 วัน)  อาการเริ่มแรก ถ่ายอุจจาระเหลวมีเนื้ออุจจาระปน ปวดท้อง และปวดเบ่งที่ก้น ไม่มีไข้ ต่อมาจะถ่ายเป็นมูกเลือดทีละน้อย ไม่มีเนื้ออุจจาระปน แต่มีกลิ่นเหม็นเหมือนหัวกุ้งเน่า ผู้ป่วยจะถ่ายกะปริดกะปรอยวันละหลายครั้ง บางคนอาจถึง 20 – 50 ครั้ง แต่จะไม่อ่อนเพลีย สามารถทำงานได้

ปวดท้องบิด

อาการของบิดมีตัว

  1. ไม่มีอาการใดๆ เลย แต่จะรู้สึกไม่สบายท้อง ถ้าไปตรวจจะพบอะมีบาในอุจจาระ
  2. มีอาการชนิดเฉียบพลัน ปวดบิด ถ่ายอุจจาระเหลว อุจจาระมีกลิ่นคล้ายหัวกุ้งเน่า อาการไม่แรงเท่าบิดไม่มีตัว ถ้าผู้ป่วยต้านทานโรคได้น้อย อาจจะมีไข้สูงและถ่ายเป็นมูกเลือดมาก
  3. มีอาการชนิดเรื้อรัง เป็นผลจากบิดชนิดเฉียบพลัน แล้วรับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง อะมีบาจึงตายไม่หมด ทำให้อาการไม่หายขาด และเป็นไปเรื่อยๆ
  4. โรคแทรกซ้อน ลำไส้เกิดการทะลุ เกิดแผลที่ลำไส้ใหญ่ เป็นฝีที่ตับ เพราะอะมีบาเข้าไปที่กระแสเลือดและไปยังตับอักเสบและเป็นฝี ฝีนี้อาจแตกทะลุไปยังปอด ทำให้เป็นฝีที่ปอดด้วย

การควบคุมและป้องกันโรค

1. การป้องกันก่อนการเกิดโรค โดย

  • จัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาดถูกหลักสุขาภิบาล ดื่มน้ำต้มสุก
  • ไม่รับประทานอาหารที่มีแมลงวันตอม
  • กำจัดอุจจาระโดยการสร้างส้วมให้ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล
  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงอาหาร    ก่อนรับประทานอาหาร และภายหลังออกจากส้วม
  • ให้สุขศึกษาแก่ชุมชนเกี่ยวกับการสุขาภิบาลอาหาร สุขวิทยาส่วนบุคคล

2.  การควบคุมและป้องกันเมื่อมีโรคเกิดขึ้นแล้ว โดย

  • รายงานเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อดำเนินการสอบสวนโรคต่อไป
  • ระมัดระวังการสัมผัสกับอุจจาระของผู้ป่วย ต้องทำลายเชื้อด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค
  • ปรึกษาแพทย์เพื่อขอรับการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อบิด  และรักษาอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดโรคเรื้อรังและโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้
  • รับประทานอาหารอ่อนที่มีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการ

ขอบคุณที่มาจาก : สำนักงานระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข
วิกิพีเดีย / การควบคุมและป้องกันโรค สถาบันพลศึกษาวิทยาเขตสุพรรณบุรี