ตุ่มน้ำพอง เพมฟิกัส โรคตุ่มน้ำพอง

โรคตุ่มน้ำพอง โรคหายาก 1 ใน 4 แสนคน แสบคัน สุดทรมาน!!

โรคตุ่มน้ำพอง หรือ เพมฟิกัส (pemphigus) และเพมฟิกอยด์ (Bullous pemphigoid) เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดการแยกตัวของผิวหนัง จึงทำให้มีตุ่มน้ำพองขึ้นที่ผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ โรคนี้พบไม่บ่อยอาจเกิดขึ้นใน 1 ใน 4 แสนคน…

Home / HEALTH / โรคตุ่มน้ำพอง โรคหายาก 1 ใน 4 แสนคน แสบคัน สุดทรมาน!!

โรคตุ่มน้ำพอง หรือ เพมฟิกัส (pemphigus) และเพมฟิกอยด์ (Bullous pemphigoid) เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดการแยกตัวของผิวหนัง จึงทำให้มีตุ่มน้ำพองขึ้นที่ผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ โรคนี้พบไม่บ่อยอาจเกิดขึ้นใน 1 ใน 4 แสนคน ทั้งนี้โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อสามารถรักษาให้หายได้ แต่ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

 

สาเหตุของโรคตุ่มน้ำพอง

  • เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ
  • พันธุกรรม
  • ปัจจัยพื้นฐานสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกระตุ้น เช่น เชื้อโรค สารเคมี
  • ผู้ป่วยที่เป็นโรคมักมีอายุประมาณ 50-60 ปี แต่สามารถพบโรคนี้ได้ทุกวัย ทั้งหญิงและชาย

อาการของโรคตุ่มน้ำพอง

  • มีตุ่มน้ำพองหรือแผลถลอกที่ร่างกายและเยื่อบุต่างๆ
  • ตุ่มน้ำแตกจะทำให้ปวดแสบมาก และอาจเกิดแผลหรือรอยถลอก
  • มีอาการแผลในปาก เป็นแผลถลอกที่เหงือก เพดานปาก หรือกระพุ้งแก้ม
  • เมื่อเกิดตุ่มน้ำพองหรือแผลในปากจะทำให้กลืนอาหารไม่สะดวก
  • ผิวหนังที่เป็นแผล อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียเป็นหนองได้
  • ถ้าเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดอาจทำให้มีไข้

 

โรคตุ่มน้ำพอง
โรคตุ่มน้ำพอง

 

การดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อเป็นโรคตุ่มน้ำพอง

  1. หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  2. ไม่ควรรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ
  3. ถ้ามีแผลในปากควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด เพราะจะทำให้แสบหรือเจ็บแผลมากขึ้น
  4. ไม่แกะเกาผื่น
  5. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
  6. ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ไม่หนักจนเกินไป
  7. ไม่ควรใส่เสื้อผ้ารัดเกินไปเพราะอาจทำให้ผิวหนังอักเสบมากขึ้น
  8. ถ้ามีตุ่มน้ำแตกเป็นแผลในปาก ให้อมน้ำเกลือกลั้วปากบ่อย ๆ แต่ไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากยาฆ่าเชื้อ
  9. ควรทำความสะอาดร่างกายและบริเวณแผล ด้วยการใช้น้ำเกลือเช็ดเบาๆ
  10. ควรไปพบแพทย์สม่ำเสมอ ห้ามหยุดยาเอง

The Doctor เรื่องเล่าเรากับหมอ ตอน ภูมิแพ้ผิวหนัง