น้ำหนักตัวไม่ได้เป็นตัวชี้วัดถึงสุขภาพที่แท้จริงของร่างกาย เพราะร่างกายคนเรานั้นประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นน้ำ กล้ามเนื้อ กระดูก และองค์ประกอบอื่นๆ ที่ส่งผลต่อน้ำหนัก ดังนั้นแล้วสำหรับคนที่อยากดูแลสุขภาพและติดตามควบคุมน้ำหนักเพื่อให้สอดคล้องกับรูปร่างที่แท้จริงของตนเอง เรามีคำแนะนำให้ใช้วิธีการในการดูแลสุขภาพโดยรวมดังนี้
เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย (Body Fat Percentage) ปริมาณไขมันในร่างกายเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงเสมอในแต่ละวัน ขึ้นอยู่กับระดับของเหลวในร่างกาย โดยการดื่มน้ำ หรือ แอลกอฮอลล์ การมีรอบเดือน และการออกกำลังกาย ต่างเป็นปัจจัยที่สามารถเปลี่ยนแปลงระดับไขมันในร่างกายได้ ทั้งนี้ ปริมาณไขมันของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ อาชีพ และกิจกรรมที่ทำเป็นประจำ การตรวจวัดและติดตามระดับไขมันในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ทราบว่ากำลังลดน้ำหนักได้ตรงจุดหรือไม่ และควรกำหนดทิศทางการออกกำลังกายและแนวทางโภชนาการควบคู่
ระดับไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat Level) ไขมันในช่องท้องเกิดจากการสะสมตัวของไขมันจากอาหารที่ร่างกายเผาผลาญเป็นพลังงานไม่หมดในแต่ละวัน พบได้บริเวณระหว่างกล้ามเนื้อท้องกับอวัยวะภายในช่องท้องที่สำคัญ โดยไขมันบริเวณดังกล่าวเป็นอันตรายกว่าไขมันในบริเวณอื่น เนื่องจากสามารถละลายเข้าสู่กระแสเลือด ไปสะสมตามอวัยวะต่างๆ รวมถึงเกาะตามผนังหลอดเลือดจนขัดขวางการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย และนำไปสู่โรคร้ายมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดสมอง ที่สำคัญ ผู้ที่มีรูปร่างผอมเพรียวยิ่งไม่ควรชะล่าใจในสุขภาพของตน เนื่องจากภาวะไขมันในช่องท้องไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว และสามารถเกิดได้กับทั้งคนอ้วนและผอมที่ละเลยการออกกำลังกาย และชอบรับประทานอาหารจำพวกเบเกอรี่และของทอด
เปอร์เซ็นต์กล้ามเนื้อโครงร่าง (Skeletal Muscle Percentage) กล้ามเนื้อโครงร่าง คือกล้ามเนื้อที่ยึดติดอยู่ระหว่างกระดูกเพื่อใช้ในการเคลื่อนไหวร่างกาย เนื่องจากกล้ามเนื้อมีความหนาแน่นกว่าไขมัน ทำให้ในปริมาณน้ำหนักเท่ากันกล้ามเนื้อจะมีขนาดเล็กกว่าไขมันอย่างเห็นได้ชัด การเสริมสร้างกล้ามเนื้อจึงอาจทำให้มีน้ำหนักตัวมากขึ้น แต่มวลกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งจะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญพลังงาน เพิ่มความสามารถและความทนทานของร่างกาย และยังช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บของกระดูกและข้อต่อ อีกทั้งยังมีผลดีต่อการลดน้ำหนักในระยะยาวอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่กำลังฟิตหุ่น ยิ่งควรตรวจวัดเปอร์เซ็นต์กล้ามเนื้อโครงร่างของตนตลอดโปรแกรมการออกกำลังกาย เพื่อคอยติดตามพัฒนาการของร่างกายอย่างใกล้ชิด
อัตราการเผาผลาญพลังงานขณะอยู่เฉย (Resting Metabolism) ทุกกิจกรรมที่ทำในแต่ละวันล้วนมีการเผาผลาญแคลอรี่อยู่เสมอ ฉะนั้น ผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักจึงจำเป็นต้องรู้อัตราการเผาผลาญพลังงานขณะอยู่เฉย เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนโภชนาการและตารางการออกกำลังที่เหมาะสม โดยอัตราการเผาผลาญดังกล่าว จะแตกต่างกันในแต่ละบุคคลตามปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ น้ำหนักตัว องค์ประกอบในร่างกาย และประเภทของกิจกรรมในช่วงเวลาที่ตรวจวัด โดยอัตราการเผาผลาญพลังงานขณะอยู่เฉย จะสูงขึ้นตาม เปอร์เซ็นต์กล้ามเนื้อโครงร่าง ที่เพิ่มขึ้น
อายุร่างกาย (Body Age) อีกหนึ่งตัวเลขที่เกี่ยวโยงกับอัตราการเผาผลาญพลังงานขณะอยู่เฉย คือ อายุร่างกาย โดยใช้น้ำหนักและเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายในการคำนวณว่าอายุร่างกายมากหรือน้อยกว่าอายุที่แท้จริงตามปีปฏิทิน การทราบอายุร่างกายจะช่วยให้เห็นภาพรวมสุขภาพเบื้องต้น ซึ่งตัวเลขที่คำนวณได้มักจะสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน และอารมณ์ความเครียด หากพบว่าอายุร่างกายแก่กว่าอายุที่แท้จริง จะช่วยกระตุ้นให้หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
อ้างอิงข้อมูลจาก ออมรอนเฮลธ์แคร์