หากพูดถึงการแพ้อาหาร ส่วนใหญ่จะนึกถึงอาการมีผื่นคันขึ้นตามตัว หายใจไม่ออก บวมที่ใบหน้า คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อาการดังกล่าวนี้เรียกว่าการแพ้อาหารแบบเฉียบพลัน แต่ ภูมิแพ้อาหารแฝง คือ อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นในระบบย่อยอาหารหลังจากกินอาหารที่แพ้เข้าไป โดยอาการจะไม่รุนแรงเหมือนเวลาแพ้อาหารที่เกิดขึ้นฉับพลัน แต่จะสร้างความรำคาญให้กับคนที่มีอาการ ซึ่งทั้งสองอาการมีความแตกต่างกัน
อาการแพ้อาหาร เกิดจากสิ่งที่รับประทานเข้าไปได้ไปกระตุ้นระบบภูมิต้านทานชนิด IgE ให้ทำงานเกินกว่าปกติ ทำให้ร่างกายเข้าใจว่าสิ่งที่รับประทานเข้าไปเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงแสดงอาการแพ้เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน แม้ว่าจะรับประทานเพียงเล็กน้อยก็มีผลได้
ในขณะที่ ภูมิแพ้อาหารแฝง ร่างกายจะสร้างสารภูมิต้านทานชนิดอิมมูโนโกลบูลินจี (IgG) ทำปฏิกริยากับอาหารที่แพ้ หากรับประทานในปริมาณเล็กน้อยก็อาจไม่ส่งผลกระทบอะไร โดยส่วนใหญ่ผู้มีอาการจึงมักไม่รู้ว่าตัวเองแพ้อาหารแฝงชนิดไหน นอกจากนี้ภูมิแพ้อาหารแฝงจะแสดงอาการช้ากว่าการแพ้อาหารทั่วไป อาจใช้เวลาถึง 48 ชั่วโมงกว่าจะแสดงอาการ โดยสารภูมิต้านทานชนิดชนิด IgG ที่ร่างกายสร้างขึ้นมานั้นจะค่อยๆทำลายเนื้อเยื่อ หรือไปรบกวนระบบภูมิต้านทานทั้งร่างกาย ทำให้แปรปรวนจนร่างกายเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ภูมิแพ้อาหารแฝงเป็นอาการผิดปกติที่แฝงอยู่ในชีวิตประจำวันโดยที่เราไม่รู้ตัว และเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ ของตัวเอง
สำหรับอาการของภูมิแพ้อาหารแฝง ได้แก่ ท้องอืด หรือมีอาการเหมือนกรดไหลย้อน ท้องผูกสลับกับท้องเสีย ปวดท้อง ปวดไมเกรนเรื้อรัง หรือปวดหัว ไอ คลื่นไส้ มีน้ำมูก รู้สึกไม่สบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย มีผื่นขึ้น เป็นลมพิษ
ทั้งนี้การตรวจหาภูมิแพ้อาหารแฝง สามารถทำได้โดยการตรวจจากเลือด วิธีนี้จะนำเลือดไปตรวจหาสารภูมิต้านทานชนิด อิมมูโนโกลบูลินจี (IgG) ต่อสารแปลกปลอม หรืออาหาร หากภูมิต้านทานตอบสนองต่อสารอาหารที่ทดสอบกว่า 200 ชนิด ก็อาจบอกได้ว่ามีภาวะแพ้อาหารแฝงชนิดใดบ้าง