BMW BMW i3 บีเอ็มดับเบิลยู

BMW i3 เตรียมปิดม่านในเดือนกรกฎาคมนี้ หลังจากทำตลาดยาวนานกว่า 9 ปี

BMW Group เตรียมประกาศปิดสายการผลิต BMW i3 ในยุโรปช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นตลาดแห่งสุดท้ายที่ยังคงจำหน่ายในปัจจุบัน หลังจากทำตลาดมายาวนานกว่า 9 ปี

Home / AUTO / BMW i3 เตรียมปิดม่านในเดือนกรกฎาคมนี้ หลังจากทำตลาดยาวนานกว่า 9 ปี

BMW Group เตรียมประกาศปิดสายการผลิต BMW i3 รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กรุ่นแรกของแบรนด์ในยุโรปช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นตลาดแห่งสุดท้ายที่ยังคงจำหน่ายในปัจจุบัน หลังจากทำตลาดมายาวนานกว่า 9 ปี

จากรายงานของโฆษกของ BMW ได้ยืนยันว่ารถคอมแพ็คแฮทช์แบ็คไฟฟ้าคันสุดท้านมีกำหนดที่จะปิดสายการผลิตในเมืองไลพ์ซิก ประเทศเยอรมนีในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อที่จะปรับโครงสร้างสายการผลิตใหม่ เตรียมสำหรับการผลิต Mini Countryman เจนเนอเรชั่นที่สามที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2022

และการสิ้นสุด i3 ครั้งนี้ เพื่อเป็นการขยายความต้องการของลูกค้าให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น ทั้งเซ็กเมนต์ เทคโนโลยี ให้ประสิทธิภาพในการขับขี่ด้วยเทคโนโลยีไฟฟ้าที่ดีขึ้น และมีราคาที่คุ้มค่า

BMW i3 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก ที่ไฮเทคเกินตัว

BMW i3
BMW i3

หลังจากเปิดตัว BMW i3 ครั้งแรกในฐานะรถคอนเซ็ปต์เมื่อปี 2011 และเริ่มเผยโฉมจำหน่ายจริงในปี 2013 ซึ่งถือได้ว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบรุ่นแรกของแบรนด์ หลังจากจำหน่ายมายาวนานกว่า 9 ปี สามารถทำยอดขายได้มากถึง 250,000 คัน

โดยในช่วงแรกระบบขับเคลื่อนจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับหลัง แต่ได้มีการเพิ่มรุ่นย่อยที่จะพ่วงเครื่องยนต์เบนซิน 2 สูบ เรียง 647 ซีซี สมรรถนะสูงสุด 168 แรงม้า จับคู่แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 22.2kWh

ขยับมาในปี 2017 ได้มีการขยายความจุแบตเตอรี่เป็น 33.3kWh พร้อมเพิ่มรุ่นสมรรถนะสูงอย่าง i3S กำลังสูงสุด 181 แรงม้า

ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ นอกจากจะมาพร้อมระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแล้ว ยังมาพร้อมกับแพลตฟอร์ม DriveLife ด้วยโครงสร้างอะลูมิเนียม และคาร์บอนไฟเบอร์ ชิ้นส่วนตัวถังที่มีการใช้คาร์บอนไฟเบอร์เกรดเดียวกับรถแข่ง F1 รวมถึงประตูตู้กับข้าวอันเป็นเอกลักษณ์ และมาพร้อมเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่สุดล้ำในยุคนั้น อาทิ เรือนไมล์จอดิจิทัล, ระบบช่วยจอดรถ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังเป็นรถรุ่นแรก ๆ ที่ใช้วัสดุรีไซเคิลจากพลาสติก และใช้วัสดุแห่งความยั่งยื่นในการตกแต่งภายในอันเป็นหนึ่งในจุดขายสำคัญของรถรุ่นนี้ด้วย

ทั้งนี้ในเมืองไทยได้มีการนำ BMW i3S รุ่นนำเข้าเข้ามาจำหน่ายในไทย โดยได้วางจำหน่าย BMW i3S เพียงรุ่นเดียว มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อหลัง 184 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร ผสานด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 33.2 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 280 กม. / ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (NEDC) อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ที่ 6.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม.

โดยข่าวคราวล่าสุดนั้นคือการประกาศลดราคาครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2563 ที่ผ่านมาจากราว ๆ 3.7 ล้านบาท เหลือเพียง 2,230,000 บาท ซึ่งได้รับความสนใจจากแฟน ๆ เป็นอย่างมาก

รถที่จะมาแทนที่ในอนาคต

สำหรับรถที่จะมาแทนที่ BMW i3 นั้นจะเป็น All-New BMW iX1 ซึ่งเป็นรถที่ใช้พื้นฐานจาก X1 โฉมใหม่ล่าสุด แม้จะเป็นขนาดคอมแพ็คครอสโอเวอร์ที่ใหญ่กว่า แต่ไม่ว่าจะเป็น iX1 หรือ Mini Countryman โฉมใหม่ ตัวรถจะใช้แพลตฟอร์ม FAAR ของ BMW ที่ผลิตได้ง่าย และมีราคาที่ถูกกว่าแพลตฟอร์ม i3 เดิม

ขณะเดียวกัน แผนกำหนดการเดิมของการผลิต iX1 จะผลิตที่โรงงานแห่งใหม่ในเดเบรเซน ประเทศฮังการี อย่างไรก็ตาม ด้วยความล่าช้าในการก่อสร้างไซต์กรีนฟิลด์ จึงทำให้ต้องทำการผลิตที่โรงงาน Regensburg ของ BMW จนถึงปี 2024

และอีกรุ่นที่จะเข้ามาเติมเต็มด้วยเช่นกันคือ Mini Electric หรือ Mini Cooper SE EV เจนเนอเรชั่นที่สอง ซึ่งเป็นรถที่ได้รับการพัฒนาร่วมกันระหว่าง BMW และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน Great Wall Motor ภายใต้ชื่อ Spotlight Automotive ซึ่งในเวลานี้กำลังเดินหน้าสร้างโรงงานที่เมืองจางเจียกัง สาธารณรัฐประชาชนจีน

ซึ่งการปิดฉากรุ่น i3 นี้ถือได้ว่าเป็นก้าวใหม่ของทางบริษัทฯ ด้วยข้อมูล และองค์ความรู้ของ i3 สามารถนำไปต่อยอดรถยนต์ไฟฟ้าซีรี่ย์ i รุ่นอื่น ๆ ที่เปิดตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึง Mini เองก็ได้รับอานิสงส์ขององค์ความรู้และเทคโนโลยีมาประยุกต์ด้วย และการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าใหม่นี้จะต้องสอดคล้องไปกับมาตรฐานเดียวกัน เพื่อลดความซับซ้อนในการพัฒนา ลดความยุ่งยากในการผลิต และมีราคาที่สมเหตุสมผล และสามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่

ทางบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าว่า ภายในสิ้นปีนี้ BMW Group จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ามากถึงหกรุ่น และจะมีมากถึง 13 รุ่น ภายในปี 2023

เครดิตข้อมูลจาก autocar.co.uk และ bmwblog.com