มิชลิน ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยียางรถยนต์ระดับโลก ได้เปิดตัว ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ (MICHELIN Pilot Sport EV) ยางรุ่นแรกในตระกูล ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต’ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรถยนต์สปอร์ตไฟฟ้าโดยเฉพาะ การเปิดตัวนวัตกรรมยางครั้งนี้มุ่งรองรับแนวโน้มการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และตอกย้ำความมุ่งมั่นของมิชลินที่มีต่อการสัญจรอย่างยั่งยืน
ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ ให้คุณสมบัติที่โดดเด่น อาทิ
- ศักยภาพในการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมทั้งบนถนนเปียกและถนนแห้ง3,4 ไม่ว่ายางจะสึกอยู่ที่ระดับใดก็ตาม5 โดยคำนึงถึงน้ำหนักตัวรถและการกระจายน้ำหนักที่มากกว่าของรถสปอร์ตไฟฟ้า
- ความสามารถในการต้านทานการสึกหรอที่โดดเด่น6 สามารถรองรับแรงเร่งและแรงบิดสูงอันเป็นลักษณะเฉพาะของรถสปอร์ตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- แรงต้านทานการหมุนที่ต่ำมากของยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ ส่งผลให้มีระยะทางวิ่งเพิ่มขึ้นถึง 60 กิโลเมตร ช่วยให้ผู้ขับขี่ใช้งานรถสปอร์ตไฟฟ้าได้เต็มสมรรถนะถึงขีดสุด7
- ประสิทธิภาพในการลดระดับเสียงรบกวนลงได้ถึง 20% ด้วยเทคโนโลยี MICHELIN AcousticTM ซึ่งอยู่ในรูปโฟมโพลียูรีเธนที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษเพื่อลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร จึงให้ความเพลิดเพลินในการขับขี่รถสปอร์ตไฟฟ้าที่เหนือกว่า1
ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ ให้ประสบการณ์ที่เหนือกว่าซึ่งถ่ายทอดมาจากการแข่งรถ ‘ฟอร์มูลา อี’
มิชลิน ในฐานะพันธมิตรผู้ก่อตั้งการแข่งรถ ‘ฟอร์มูลา อี’ (Formula E) มุ่งมั่นนำเสนอโซลูชั่นสำหรับรถพลังงานไฟฟ้าประเภทที่นั่งเดี่ยวซึ่งใช้ในการแข่งขัน ‘ฟอร์มูลา อี’ โดยยางมิชลินสำหรับการแข่งรถ รายการดังกล่าวมีลักษณะเหมือนกับยางสำหรับวิ่งบนถนนทางเรียบ แต่มีประสิทธิภาพสำหรับการแข่งขันประลองความเร็วในทุกสภาพอากาศ ทั้งนี้ ขนาดยางซึ่งอยู่ที่ 19 นิ้ว เป็นไปตามมาตรฐานยางสำหรับรถยนต์ทางเรียบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ เป็นพัฒนาการจากความสำเร็จของมิชลินในการแข่งรถ ‘ฟอร์มูลา อี’กว่า 6 ฤดูกาล โดยมาพร้อมเทคโนโลยี ElectricGrip CompoundTM ซึ่งใช้เนื้อยางที่มีความแข็งแกร่งสูงบริเวณตอนกลางของหน้ายาง จึงให้การยึดเกาะที่รองรับแรงบิดสูงของรถสปอร์ตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันแก้มยางยังมีลวดลายและลักษณะพื้นผิวคล้ายกำมะหยี่เช่นเดียวกับยางมิชลินที่ใช้ในการแข่งรถ ‘ฟอร์มูลา อี’ ด้วย
ยางที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ในกระบวนการก่อนการขาย ณ จุดขาย2
เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ตลอดอายุการใช้งานยาง รวมทั้งเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่รถสปอร์ตไฟฟ้า มิชลินได้ให้คำมั่นที่จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ในกิจกรรมการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการขนส่งผลิตภัณฑ์ยางไปยังจุดจำหน่าย กระบวนการนี้ครอบคลุมการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการต่างๆ ที่มุ่งชดเชยและดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตยางและตกค้างอยู่ ผ่านกองทุนคาร์บอน Livelihoods Carbon Fund (LCF) จนกว่าจะสามารถขจัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือศูนย์
ปัจจุบัน มิชลินเป็นผู้ผลิตยางรถยนต์เพียงรายเดียวที่มีบทบาทในตลาดยางรถสปอร์ตไฟฟ้า ทั้งประเภทยางมาตรฐานติดรถและยางเปลี่ยนทดแทน ทั้งนี้ ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ จะเริ่มทยอยออกวางจำหน่ายในปี 2564 โดยมีให้เลือก 16 ขนาด (ยางมาตรฐานติดรถ 11 ขนาด และยางสำหรับเปลี่ยนทดแทน 5 ขนาด) สำหรับล้อขอบ 18-22 นิ้ว
อนึ่ง ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ ขนาด 20 นิ้ว ได้รับการรับรองให้ใช้งานกับรถยนต์ Tesla Model Y ซึ่งทำตลาดในประเทศจีน ทั้งยังจะเป็นยางที่ทำตลาดทั่วโลก ครอบคลุมการใช้งานกับยานยนต์ในตลาดยุโรปและอเมริกาเหนือในปลายปี 2564 นอกจากนี้ มิชลินยังตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายในตลาดที่มีการเติบโตสูงให้ได้เป็น 8 เท่า ภายในปี 2567
ในประเทศไทย ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ มีวางจำหน่ายผ่านการสั่งจองล่วงหน้าขนาด (ขอบ 19-22 นิ้ว) ณ เครือข่ายศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร ‘ไทร์พลัส’ และร้านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของมิชลินทั่วประเทศ ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.michelin.co.th หรือ MICHELIN Hotline 02-700-3993
หมายเหตุ:
1 ผลการวัดระดับเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร (ช่วงความถี่ 170-230 เฮิรตซ์) ซึ่งดำเนินการเมื่อปี 2559 โดยใช้รถ KIA Cadenza ที่ติดตั้งยางขนาด 245/45 R19 ทั้งนี้ เป็นการวัดระดับเสียงรบกวนที่ช่วงความถี่ 170-230 เฮิรตซ์ ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับรถยนต์ที่ใช้ ขนาดและระยะวิ่งของยาง ความเร็วในการขับขี่ ตลอดจนสภาพถนน
2 มิชลินสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากพื้นที่โรงงานลงได้ถึงร้อยละ 25 มาตั้งแต่ปี 2553 และตั้งเป้าที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ทั้งนี้ มิชลินได้สนับสนุนเงินทุนให้กับโครงการต่างๆ ที่มุ่งดูดซับหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้ได้รับคาร์บอนเครดิตจากโครงการเหล่านี้เทียบเท่ากับระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตกค้างในกระบวนการผลิตยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ (ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบไปจนถึงการจัดส่งผลิตภัณฑ์ยางให้กับลูกค้า) อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Livelihoods Carbon Fund ได้ที่: https://www.michelin.com/en/sustainable-development-mobility/environment/
3 มิชลินได้ทำการศึกษาเรื่องความหนึบในการเข้าโค้งเมื่อเดือนตุลาคม 2563 โดยนำยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ และยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต 4 เอสยูวี’ ขนาด 255/45 R19 มาทดสอบเปรียบเทียบสมรรถนะด้วยเครื่องจักรกล
4 ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ ได้รับฉลาก EU ระดับ B ในเรื่องประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนเปียก
5 ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ ขนาด 255/45 R19 ที่นำมาทดสอบ ทั้งยางใหม่และยางใกล้หมดดอก [“ใกล้หมดดอก” ในที่นี้หมายถึงถูกทำให้สึกหรอด้วยเครื่องจักรจนลึกถึงสะพานยาง ตามระเบียบข้อบังคับของยุโรปเรื่องสะพานยาง (ECE R30r03f)] ล้วนมีคุณสมบัติเหนือกว่ามาตรฐานข้อกำหนดเรื่องประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนเปียกตามระเบียบข้อบังคับของยุโรปที่ R117
6 โครงสร้าง MaxTouch Construction ช่วยเพิ่มหน้าสัมผัสระหว่างยางล้อกับพื้นผิวถนน ทั้งยังช่วยกระจายแรงกดให้สม่ำเสมอตลอดหน้ายางขณะเร่งความเร็ว เบรก และเข้าโค้ง ส่งผลให้หน้ายางมีอายุใช้งานยาวนานขึ้น ทั้งยังให้สมรรถนะดีดังเดิม
7 มิชลินได้ทำการศึกษาเรื่องแรงต้านทานการหมุนของล้อเมื่อเดือนตุลาคม 2563 โดยเปรียบเทียบระหว่างยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ (แรงต้านทานการหมุน 6.7 กิโลกรัม/ตัน) และยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต 4 เอสยูวี’ (แรงต้านทานการหมุน 8.8 กิโลกรัม/ตัน) ที่ขนาด 255/45 R19 เท่ากัน โดยใช้รถพลังงานไฟฟ้าที่มีน้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 2,151 กิโลกรัม ซึ่งจะวิ่งได้ระยะทาง 540 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง แรงต้านทานการหมุนของล้อที่ต่างกัน 2.1 กิโลกรัม/ตันส่งผลให้ระยะทางวิ่งของยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ เพิ่มขึ้นอีกกว่า 60 กิโลเมตร หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 10 ของระยะทางประเมินเบื้องต้น