เชื่อว่าตอนนี้คงไม่มีหนุ่มคนไหนเป็นประเด็นในทวิตเตอร์เท่า ‘พี่ไจ๋’ ของ ‘น้องเต๋’ ด้วยความร้อนแรงจากเนื้อหา เราจึงจะพาทุกคนไปรู้จักตัวตนของ โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์ ชายหนุ่มผู้ต้องมาแบกรับกระแสของ พี่ไจ๋ จากเรื่อง แปลรักฉันด้วยใจเธอ Part 2.
Q : รบกวนแนะนำตัวหน่อยครับ
A : สวัสดีครับ ผม โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์ ครับผม
Q : ความสุข ในมุมมองของ โอบ เป็นอย่างไรครับ
A : ความสุขในมุมมองของผม คือ ตอนนี้ผมแค่อยากจะใช้ชีวิตให้สนุกครับผม แล้วก็มีความสุขในทุกวันโดยที่ไม่เดือดร้อนใคร
Q : ปัจจุบันโอบได้เจอความสุขในแบบที่ตัวเองค้นหาหรือยัง?
A : จริง ๆ แล้วผมว่ามันก็คือการใช้ชีวิตในแต่ละวันนี้ล่ะครับ แต่แค่เรารู้สึกว่าบางทีมันอาจจะมีหลากหลายอารมณ์ แล้วช่วงนี้มันเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้ผมมีโอกาสได้ทบทวนตัวเองมากขึ้น อยู่กับตัวเองมากขึ้น เราก็เลยรู้สึกปัญหาสำหรับผมที่เจอที่เจอกับตัวเอง คือ ผมชอบกดดันตัวเอง มันเลยส่งผลให้รู้สึกไม่สบายใจหรือว่าเป็นทุกข์
Q : เพราะเราเป็นคนมี Passion ด้วยรึเปล่า?
A : ผมว่าน่าจะเป็นเพราะอย่างนั้น หลังจากที่ได้มีโอกาศทบทวนตัวเอง ผมก็ลองเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ลองคิดดูว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เรามาถึงทุกวันนี้ มันดีมากแค่ไหนแล้ว ซึ่งผมว่ามันก็เวิร์คนะกับการใช้ชีวิต กับการมีแง่คิดอะไรแบบนี้
Q : หากต้องเจองานเครียด ๆ โอบมีวิธีการหาความสุขอย่างไร?
A : ผมจะลองหาอะไรทำ หมายถึงว่า ผมจะพยายามตัดเรื่องที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกเครียดออกไปก่อน อย่างเช่น ไปออกกำลังกาย ออกไปเดินข้างเล่น หรือหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน คือ ปกติเราจะฟุ้งซ่าน เวลาอยู่กับตัวเอง หรือ เวลาเราเจอเรื่องเครียดเราจะค่อย ๆ ตั้งสติก่อนแล้วค่อย ๆ แก้ปัญหาไปเรื่อย ๆ พอเราได้โฟกัสเรื่องอื่น มันทำให้เราเปลี่ยนจุดโฟกัส ทำให้เราลืมคิดเรื่องนั้นไป ซึ่งทำให้เธอรู้สึก Relax มากขึ้น
Q : ซีรีส์ล่าสุดอย่างแปลรักฯ 2 โอบรับบทเป็นอะไร ?
A : ผมรับบทเป็น พี่ไจ๋ ครับ พี่ที่คณะของ เต๋ (รับบทโดย บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล) ครับผม หากนักเรียน 1 ปี พี่ไจ๋ เป็นเป็นเด็กเนิร์ดคนนึงที่มีความมุ่งมั่นในการอยากจะเป็นผู้กำกับครับผม แล้วพอมองเห็น เต๋ ที่เข้ามาตั้งแต่วันแรกแล้วประกาศตัวว่ามันอยากเป็นนักแสดงเลย เลยรู้สึกเหมือนเห็นตัวเราในปีที่แล้วอย่างนี้เราก็ ก็เลยรู้สึกว่ามัน ๆ น่าเอ็นดู
Q : หลายคนมองว่าเราเป็น ‘ตัวปั่น’ แล้วเราใช่รึเปล่า ?
A : ทุกคนชอบคิดว่าเป็นแบบนั้นนะ แต่จริงๆ แล้วเนี่ยมันยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา คือ มันเป็นท่าทีที่มันคลุมเครือครับ ใน EP.1 และ EP.2 มันยังไม่บอกเลยว่ามันจะไปด้านไหน แต่ EP.3 เนี่ยตัวไจ๋จะมีบทบาทมากขึ้น แล้วก็เป็นตอนที่สำคัญสำหรับชีวิตเรื่องนี้เลย
Q : ได้เช็ค Feedback บ้างมั้ย ?
A : เช็คครับ ก็เป็นคอมเมนต์ตลกๆ เช่น พี่ไจ๋ดี ๆ นะ / พี่ไจ๋ระวังโดนนะ / จะเผาบ้านบ้าง จะมีคนมาขู่อยู่ตลอดเวลา (55555)
Q : โอบ กับ ไจ๋ มีความเหมือนกันแค่ไหน ?
A : ไม่ได้เหมือนขนาดนั้นนะครับ เพราะผมรู้สึกว่าเขาจะมีความตั้งใจมากกว่าผม คือผมจะรู้สึกว่าผมน่าจะ Relax เขาในระดับหนึ่ง คือ เวลาเล่นผมก็เล่น เวลาทำงานผมก็ทำงาน มันอาจจะมีความคล้ายกันในรูปแบบนี้แต่ว่าแค่เลเวลมันต่างกัน
Q : ชอบอะไรในตัวไจ๋บ้าง ?
A : ผมชอบความแพชชั่นของเขามั้งครับ คือ เวลาเขาตั้งใจทำอะไรบางอย่าง มันทำให้เห็นเสน่ห์ของเขานะเหมือน ผมรู้สึกว่าเวลาคนเราที่ตั้งใจทำอะไรบางอย่าง เช่น เล่นกีฬา หรือว่า มุ่งมั่นในอาชีพ หรือว่าทำอะไรที่ตัวเองรัก มันมีเสน่ห์หรืออะไรบางอย่าง ที่ทำให้เรารู้สึกสนใจหรือเป็นสิ่งที่เขาเหล่านั้นดึงดูดเรา
ก็สนุกดีนะรู้สึกว่าการได้ลองรับบทเป็นตัวเขา มันจะมีความคลุมเครืออะไรบางอย่าง ที่เขาอาจจะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของเขาออกมาบอกให้ใครคนใดคนหนึ่งได้รับรู้
Q : บทบาทที่ได้รับเปลี่ยนไปแค่ไหน
A : มันก็เปลี่ยนแปลงไปนะครับ คือมีคนคอมเมนต์ว่า “แปลรักฉันฯ 2 EP.1 โอบใช้ประสบการณ์ทั้งชีวิตมาเล่นเรื่องนี้” ผมก็แบบขนาดนั้นเลยเหรอ จริง ๆ ผมก็ไม่ได้คิดขนาดนั้นนะครับแต่มันเป็นคาแรคเตอร์ใหม่ที่ลองดีไซน์ขึ้นมาจากตัวผมเองแล้วก็ผู้กำกับด้วย
Q : นอกจากงานแสดงเราเห็นโอบทำธุรกิจส่วนตัวด้วย มีอะไรบ้าง?
A : ตอนนี้ก็มีแบรนด์ผลิตเสื้อผ้าอยู่ครับเป็นเสื้อผ้าที่ทำกับ พี่ท็อปแท็ป ณภัทร โชคจินดาชัย แล้วก็รุ่นพี่อีกคนนึงครับ ชื่อแบรนด์ว่า Vermillion Clothing เป็นทำแบรนด์เสื้อผ้าแนวโอเวอร์ไซส์
โดยทุกๆ ปีเราจะมาประชุมกันว่า ปีนี้อยากปล่อยกี่ Collection แล้ว Collection ไหนปล่อยเดือนไหน วางไว้ว่าจะเป็นอะไรบ้าง เกี่ยวกับอะไร ซึ่งผมก็มีส่วนในการออกแบบ โดยเราจะมีไอเดียเป็นคำพูดใช่ไหมครับ แล้วเราก็จะส่งให้ดีไซเนอร์ของเราไปผลิตเป็นงานศิลปะมาบนลายเสื้อ สำหรับใครที่สนใจสามารถเข้าไปสอบถามได้ทาง IG : @vermillion.clothing หรือ LINE ID : @vermillion ครับผม
Q : เห็นว่าเป็นคนชอบถ่ายรูปด้วย
A : ใช่ครับ แต่ว่าต้องบอกก่อนนะว่าผมถ่ายรูปได้ในระดับนึง แต่คุมโทนได้ห่วยมาก (55555) แต่รูปที่ถ่ายโดยผมจะเป็นรูปจากกล้องฟิล์มอย่างเดียวไม่ใช่เป็นของดิจิตอลเลย
และอีกอย่างที่ต้องบอกก่อนนะครับ คือ ผมมีสกิลการแต่งรูปที่ห่วยมาก ห่วยมากพอกับการคุมโทน IG เลย(55555) ด้วยความที่ไม่รู้ว่าการแต่งรูปให้สวยคืออะไร ผมเลยชอบถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์ม เพราะมันต้องจบที่หลังกล้องเลย แล้วเราลุ้นกันอีกทีนึงตอนที่ฟิล์มล้างออกมาเรียบร้อยแล้ว
และการถ่ายมันก็ต้องมันจะต้องพิถีพิถัน คือ ต้องวาง Compose / ดูเรื่องแสงวัดแสง / ปรับสปีดชัตเตอร์ / ดูโฟกัส / แล้วก็วัดค่า F-Stop ครับผม ก็เลยชอบ Detail ในการถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์ม เพราะเวลาเราจะกดรูป 1 รูปเนี่ย มันต้องมีขั้นตอนที่พิถีพิถันในระดับหนึ่ง แล้วก็ด้วยฟิล์มบางชนิดมันแพง อาจจะกดมั่วซี้ซั้วไม่ได้
Q : ตัวตนจริง ๆ ของ โอบ เป็นอย่างไร ?
A : จริง ๆ ผมมีการแบ่งชัดว่า ช่วงที่ผมจะมานั่งคิดทบทวนตัวเอง ผมก็จะเป็นคนค่อนข้างเงียบ แต่เวลาเราอยู่กับเพื่อนหรือว่าเวลาเราอยู่กับคนอื่นก็ใช้ชีวิตเต็มที่ให้สนุก ถ้ายิ่งอยู่กับเพื่อนที่สนิทใจหรือว่าสบายใจก็จะเล่นเป็นตัวเองปกติมาก จริง ๆ ผมเป็นคนชอบแกล้งเพื่อน คือ จะมีเพื่อนผมที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กเลย ปัจจุบันคือถึงแม้ว่าจะโตมาอายุ 26-27 แล้ว แต่พอมาเจอกันทีไรก็จะเหมือนเด็ก 10 ขวบทุกที
Q : เคยคิดถึงปลายทางชีวิตตัวเองรึยัง ?
A : ผมคงอยากจะมีครอบครัว แล้วก็มีบ้านของตัวเองอยู่ อยากมีเงินส่งเสียให้ลูกได้เรียนสูง ๆ เหมือนแบบที่พ่อ-แม่เราพยายามทำให้เรา และ มีความสุขมาก ๆ Simple มั้ยครับ (55555) เพราะผมเป็นคนคิดอะไรสั้น ๆ ไม่เคยคิดในระยะเวลายาวขนาดนั้น ถ้าตอบในตอนนี้ผมคงคิดประมาณเท่านี้ครับ
Q : วงการบันเทิงให้อะไรกับ โอบ บ้าง ?
A : ผมว่าวงการนี้ให้อะไรกับผมหลาย ๆ อย่างนะครับ ตั้งแต่เข้ามาทำแรก ๆ เลย มันรู้สึกว่าผมจัดการตัวเองได้ดีขึ้น มีระบบมากขึ้น เหมือนได้โตเป็นผู้ใหญ่ก่อนคนอื่น เพราะด้วยภาระหน้าที่ การงาน และก็ต้องเรียนไปด้วย มันส่งผลให้เราต้องมีการจัดการชีวิต มีการวางแผนชีวิต ไม่งั้นมันจะไปทั้ง 2 อย่างพร้อมกันไม่ได้
Q : ใช้ชีวิตผู้ใหญ่เร็วกว่าคนอื่น ?
A : คือ ช่วงเรียนมหาลัยผมเคยคุยกับเพื่อนนะว่า “..เดี๋ยววันนึง มาทำงานก็จะรู้เองแหละว่าเงินมันหายาก..” เพราะว่าเพื่อนเขาก็ใช้ชีวิตวัยรุ่นปกติ เรียนเสร็จ เตะบอล กินข้าว ปาร์ตี้ อะไรอย่างนี้ มันต่างกับผม ที่วันไหนไม่ได้ไปเรียนผมต้องทำงาน หรือ วันไหนที่ผมทำงานเสร็จแล้วต้องกลับมานั่งอ่านหนังสือ
Q : เคยนึกเสียดายบ้างไหม?
A : ผมว่ามันคือค่าเสียโอกาสมากกว่า ค่าเสียโอกาส ในที่นี้หมายความว่าเราได้มาอย่างหนึ่ง อีกอย่างนึงเราจะเสียไป แต่สุดท้ายแล้วผมรู้สึกว่ามันไม่ได้เสียไปทั้งหมด ผมยังสามารถไปตามเก็บมันได้ทีหลังได้ ไม่ว่าเราเลือกที่จะ ทำงานมากขึ้น หรือ รับงานเท่าเดิมแต่ว่าเรามีเวลาว่างมากขึ้น แล้วก็เอาเวลาเหล่านั้นน่ะไปใช้ชีวิต ก็ถือเป็นโอกาส เพราะถ้าเราไม่ใช้ชีวิตเราก็จะไม่มีประสบการณ์ แล้วเราจะเอาไปใช้กับงานแสดงยากขึ้น คือบางทีเราจะใช้ชีวิตอยู่แต่ในกรอบมันเป็นไปไม่ได้ครับบางที เราอาจจะต้องออกมานอกกรอบเพื่อที่จะออกไปดูมุมมองต่าง ๆ ของคนอื่นมากขึ้น