มีใครรู้หรือไม่…? ว่าอักษร “M” ที่อยู่กลางชื่อของ BMW นั้นมาจากคำว่า Motoren (โมโทเริ่น) ในภาษาเยอรมัน โดยแปลตรงตัวเลยว่า เครื่องยนต์ ที่เป็นทั้งจุดเริ่มต้นของบริษัทและสื่อถึงเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นเครื่องยนต์คุณภาพสูงในยานยนต์รูปแบบต่างๆ อาทิ มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ หรือกระทั่งเครื่องบิน ทาง BMW.com จึงพาเราย้อนวันวานรำลึกถึง สุดยอดเครื่องยนต์ 12 รุ่นมาให้ชมกัน
1.เครื่องยนต์เครื่องบินแบบ 6 สูบเรียง BMW IIIa (1917)
“พลังแห่งการขับเคลื่อนอันเร้าใจ” คือนิยามของ BMW โดยมีจุดเริ่มต้นมาจาก “พลังแห่งการบินอันเร้าใจ” ภายหลังการก่อตั้งบริษัทได้ไม่นาน ทีมวิศวกรได้พัฒนาเครื่องยนต์แบบแรกขึ้นในปี 1917 คือเครื่องยนต์เครื่องบิน BMW IIIa โดยมีจุดเด่น คือ การออกแบบที่ล้ำสมัย พร้อมสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ที่พาเอาเครื่องยนต์ทะยานขึ้นไปอยู่ระดับความสูงเหนือเมฆ ด้วยเครื่องยนต์ Motor IV รุ่นปรับปรุง BMW สามารถทำสถิติบินสูงสุดที่ระดับ 32,021 ฟุต (หรือ 9,760 เมตร) ได้ในปี 1919 นวัตกรรมบุกเบิกและการประกอบเครื่องยนต์ที่คงคุณภาพ ทำให้ BMW ในระยะแรกครองความเป็นผู้นำได้ตั้งแต่ต้น
คุณลักษณะ :
– เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์แบบ 6 สูบเรียง หล่อเย็นด้วยน้ำ
– ความจุกระบอกสูบ 1,163 ลูกบาศก์นิ้ว(19.1 ลิตร)
– พลังขับเคลื่อน 140 kW(185 แรงม้า)
2. เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ BMW R 5 แบบ 2 สูบ บ็อกเซอร์ (1936)
แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 60 ปีแล้วจากวันแรกที่ BMW R5 ได้ถือกำเนิดขึ้น แต่เชื่อหรือไม่ว่าทุกวันนี้ผู้ที่ชื่นชอบในรถจักรยานยนต์ ก็ยังรู้สึกชื่นชมเมื่อกล่าวถึง ด้วยเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ขนาด 30 ลูกบาศก์นิ้ว (500 ซีซี) ที่ให้พลังแห่งการขับเคลื่อนมากถึง 24 แรงม้า จะขนานนามว่ามันคือ ที่สุดในยุคสมัยก็ว่าได้ ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นของวาล์วที่ควบคุมด้วยเพลาลูกเบี้ยวคู่ R5 สร้างเกียรติประวัติได้อย่างรวดเร็วในด้านความเที่ยงตรงและทนทาน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของยนตรกรรม 2 ล้อ แนวความคิดในการสร้าง R5 ยังถูกส่งต่อมาจนถึงมอเตอร์ไซค์ BMW ในปัจจุบัน เช่น R18 และฝาครอบวาล์วใน R5 ยังเป็นต้นแบบของการสร้างชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกันในมอเตอร์ไซค์แบบครูเซอร์ของ BMW ด้วย
คุณลักษณะ :
– เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบ
– ความจุกระบอกสูบ 30.5 ลูกบาศก์นิ้ว(0.5 ลิตร)
– พลังขับเคลื่อน 18 kW(24 แรงม้า)
3. เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงของรถยนต์ BMW 328(1936)
หนึ่งในตำนานของ เครื่องยนต์ BMW ด้วยสมรรถนะที่สูงของ BMW 328 จนกลายเป็นตัวสร้างชื่อและเกียรติประวัติให้กับ BMW มาช้านาน ในเรื่องความแรงและดุดันตามสไตล์เยอรมัน ด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ ล้ำสมัยด้วยกระบอกสูบอลูมินัม ตามด้วยขุมพลังขับเคลื่อน 80 แรงม้า สามารถทำรอบเครื่องยนต์ได้ถึง 5,000 rpm ขับเคลื่อนล้อหลังและน้ำหนักรวมของรถเพียง 1,800 ปอนด์เศษ (ประมาณ 800 กิโลกรัม) ทำให้ BMW 328 เป็นเสมือนม้าแข่งสายพันธุ์เลิศ – แม้จะ 80 ปีล่วงมาแล้ว
คุณลักษณะ :
– เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง
– ความจุกระบอกสูบ 122 ลูกบาศก์นิ้ว (2.0 ลิตร)
– พลังขับเคลื่อน 59kW (80 แรงม้า)
4. เครื่องยนต์ V8 ของรถยนต์ BMW 502 (1954)
จากสัดส่วนอันโค้งมนอ่อนช้อย BMW 502 จึงถูกขนานนามว่า Baroque Angel (เทพีแห่งยุคบาโร้ค) แต่ถึงจะเป็นตำนานแต่ก็ไม่เคยล้าสมัยเลย สำหรับเครื่องยนต์ V8 ที่เป็นเครื่องยนต์ V8 จากอลูมินัมอัลลอยแบบแรกที่ผลิตใช้งานจำนวนมากด้วยเทคโนโลยีสูงในช่วงเวลานั้น เช่นเดียวกันกับเบรกบูสเตอร์ เพาเวอร์คลัทช์ และดิสก์เบรก โดยเฉพาะอุปกรณ์หลังสุดที่ภายหลังได้กลายมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถยนต์ BMW สืบมา ซึ่ง BMW 502 นั้นเป็นที่ประทับใจรัฐบาลเยอรมันในยุคนั้น ด้วยสมรรถนะของรถยนต์รุ่นนี้ จึงใช้ BMW 502 เป็นรถยนต์ฉุกเฉินของตำรวจและหน่วยดับเพลิง
คุณลักษณะ :
– เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ V8
– ความจุกระบอกสูบ 158.7 ลูกบาศก์นิ้ว( 2.6 ลิตร)
– พลังขับเคลื่อน 74 kW(100 แรงม้า)
5. เครื่องยนต์ 4 สูบ เทอร์โบ ของรถยนต์ BMW 2002 Turbo (E20) (1973)
เครื่องยนต์ใช้งานปกติพร้อมเทอร์โบ? ถ้าเป็นเมื่อ 50 ปีก่อนนั้นยังเป็นของหายากพอกับเกียร์กระปุก 4 สปีดในปัจจุบัน แต่ถ้าหากเกิดขึ้นจริงมันจะสามารถทำให้วลีติดปากผู้คนในยุคนั้นที่ว่า “เทอร์โบมา น้ำมันไป” หรือ “ช่วงเวลาชั่ววินาทีอันน่าประทับใจของเทอร์โบ” อันตรธานไปจากแวดวงยานยนต์ ซึ่ง BMW ทำได้ แต่การพัฒนาระบบเทอร์โบชาร์จยังไม่หยุดยั้ง ในปี 1973 เครื่องยนต์ 122 ลูกบาศก์นิ้ว (2ลิตร) เทอร์โบนี้ให้พลังขับเคลื่อนสุดระทึกที่ 170 แรงม้า ส่งให้ BMW 2002 Turbo ขึ้นทำเนียบรถสปอร์ตได้ไม่ยากด้วยความเร็วสูงสุด 131 ไมล์/ชั่วโมง(211ก.ม./ชั่วโมง) รถยนต์รุ่นนี้ยังเป็นรุ่นแรกของยุโรปด้วยที่มีเทอร์โบชาร์เจอร์จากโรงงาน และปัจจุบันนี้เทอร์โบชาร์เจอร์คือเทคโนโลยีชิ้นสำคัญที่เสริมสมรรถนะของเครื่องยนต์
คุณลักษณะ :
– เครื่องยนต์ 4 สูบ พร้อมเทอร์โบชาร์เจอร์
– ความจุกระบอกสูบ 122 ลูกบาศก์นิ้ว(2.0 ลิตร)
– พลังขับเคลื่อน 125kW(170 แรงม้า)
6. เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ของรถแข่ง BMW 3.0 CSL coupe (1974)
ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 นั้นระบบ multi-valve เริ่มเป็นที่นิยม เทคโนโลยี 4 วาล์วจากสนามแข่งถูกนำมาใช้ในรถยนต์ใช้งานมากขึ้น ทำให้เพิ่มแรงม้าได้เช่นเดียวกับเครื่องยนต์พลังแรงของ BMW 3.0 CSL เรซิ่งคูเป้จากปี 1974 ขณะที่รุ่นใช้งานปกติใช้ระบบวาล์วคู่ที่ให้พลังขับเคลื่อน 206 แรงม้า รถแข่งจะให้แรงม้ามากถึง 440 จากระบบ 4 วาล์วและเครื่องยนต์ที่แรงขึ้นด้วยความจุกระบอกสูบ 213.5 ลูกบาศก์นิ้ว(3.5 ลิตร) ปัจจุบันนี้เครื่องยนต์แบบ multi-valve ได้กลายเป็นรูปแบบของเครื่องยนต์มาตรฐานที่ช่วยสงวนทรัพยากรต่างๆ ไว้ได้มากเมื่อขับเคลื่อน อันเป็นองค์ประกอบที่ยิ่งทวีความสำคัญขึ้นทุกวัน
คุณลักษณะ
– เครื่องยนต์เบ็นซิน 4 สูบพร้อมเทอร์โบชาร์เจอร์
– ความจุกระบอกสูง 122 ลูกบาศก์นิ้ว (2.0 ลิตร)
– พลังขับเคลื่อน 125 kW (170 แรงม้า)
7. เครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบ ของรถแข่ง BMW Formula 1 (1983)
จากเครื่องยนต์ใหญ่กำลังแรงสู่เครื่องยนต์ที่เล็กลงแต่แรงไม่ตก แม้จะมีความจุกระบอกสูบเพียง 92 ลูกบาศก์นิ้ว (1.5 ลิตร) แต่เมื่อพลังขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ BMW ฟอร์มูลา 1 ในทศวรรษที่ 1980 นั้นต้องแรงมหาศาล จึงมีเสียงร่ำลือกันว่าพลังเครื่องยนต์รุ่นต่างๆ ที่ใช้ซ้อมแข่งนั้นแรงได้สุดถึง 1,200 แรงม้า สมรรถนะอันเหนือชั้นนี้คือสิ่งท้าทายสำหรับบรรดานักแข่งฟอร์มูลา 1 โดยเฉพาะในยุคที่ยังไม่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ช่วยคนขับ เราได้เห็นกันบ่อยครั้งที่เทคโนโลยีในจากสนามแข่งได้ถูกนำมาใช้กับรถยนต์นั่งปกติ ด้วยเหตุผลนี้จึงนับได้ว่าเครื่องยนต์รถแข่ง BMW ในฟอร์มูลา 1 เป็นต้นแบบด้านวิธีการสร้างเครื่องยนต์ในปัจจุบัน ที่ถึงแม้ลดขนาดของเครื่องยนต์ลง แต่ก็ไม่ได้ลดประสิทธิภาพ พร้อมประหยัดเชื้อเพลิงอีกด้วย
คุณลักษณะ :
– เครื่องยนต์ 4 สูบพร้อมเทอร์โบชาร์เจอร์
– ความจุกระบอกสูบ 92 ลูกบาศก์นิ้ว (1.5 ลิตร)
– พลังขับเคลื่อนสูงสุด 1,200 แรงม้า (ในรุ่นใช้ซ้อมแข่งในฟอร์มูลา 1 )
8. เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ ของรถยนต์ BMW 524 td (E28) (1983)
หลังจากสร้างประสบการณ์ในการทำเครื่องยนต์มานานกว่า 60 ปี นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ BMW ผลิตเครื่องยนต์ดีเซลขุมพลังของรถในซีรีส์ 5 ซึ่งถือกำเนิดขึ้นด้วยคุณสมบัติอันเร้าใจคือ พลังขับเคลื่อน 115 แรงม้ากับแรงบิด 210 นิวตัน/เมตร ซึ่งถือว่าแรงจัดสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลในยุคนั้น เครื่องยนต์ดีเซลที่แต่ก่อนเคยใช้กับรถบรรทุกและแทร็คเตอร์ได้กลายเป็นที่ยอมรับสำหรับรถยนต์นั่ง และ BMW 524 td ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของพลานุภาพแห่งความสะดวกสบาย ความประหยัดเหนือระดับ และเป็นแม่แบบของเครื่องยนต์สะอาดแห่งปัจจุบัน
คุณลักษณะ :
– เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบพร้อมเทอร์โบชาร์เจอร์
– ความจุกระบอกสูบ 135.5 ลูกบาศก์นิ้ว (2.4 ลิตร)
– พลังขับเคลื่อน 85kW (115 แรงม้า)
9. เครื่องยนต์ V12 ของรถยนต์ BMW 750i (E32) (1987)
เครื่องยนต์ 12 สูบคือนวัตกรรมที่แปลกใหม่ในเวลานั้น BMW V12 จึงเปรียบเสมือนนิยามของความสมบูรณ์แบบทั้งในด้านความนุ่มนวล นิ่ง และพลังขับเคลื่อนอันมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อ BMW 750i เป็นหัวหอกในด้านเครื่องยนต์ใช้งานแบบ 12 สูบมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องยนต์ V12 ของ BMW 750i คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้รถยนต์ถึงพร้อมสมรรถนะอันยอดเยี่ยมและความนุ่มนวล ซึ่งเคยมีการทดสอบวางเหรียญบนเครื่องยนต์ BMW V12 ผลลัพธ์ที่ได้คือ ขณะที่เครื่องกำลังทำงานเหรียญไม่หล่นลงมา จนว่ากันว่านี่แหละคือจุดกำเนิดของเครื่องยนต์ไฟฟ้าของ BMW ในปัจจุบัน
คุณลักษณะ :
– เครื่องยนต์วี 12 สูบ
– ความจุกระบอกสูบ 305 ลูกบาศก์นิ้ว (5.0 ลิตร)
– พลังขับเคลื่อน 220 kW (300แรงม้า)
10. เครื่องยนต์ V-10 ของ BMW M5 (E60) (2004)
จากเครื่องยนต์ 12 วาล์วสู่เครื่องยนต์ 10 สูบ จากเครื่องยนต์ที่ขับได้นุ่มสบายมาสู่เครื่องยนต์สปอร์ต สถิติคือตัวชี้บ่งที่ชัดเจนไร้ข้อกังขา เครื่องยนต์ที่ถูกออกแบบใหม่หมดนี้ให้พลังขับเคลื่อน 500 แรงม้าที่ 7,750 รอบ เหมือนรถแข่งที่ซ่อนตัวอยู่ในเรือนร่างของ BMW ซีรีส์ 5 ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากรถแข่งฟอร์มูลา 1 ที่ใช้เครื่องยนต์สิบสูบเช่นกันในเวลานั้น เป็นเครื่องยนต์ที่มีรหัสว่า S85 เป็นเครื่องยนต์ 10 สูบเพียงรุ่นเดียวในประวัติศาสตร์ของ BMW จนถึงปัจจุบัน
คุณลักษณะ
– เครื่องยนต์ วี 10 สูบ
– ความจุกระบอกสูบ 305 ลูกบาศก์นิ้ว(5.0 ลิตร)
– พลังขับเคลื่อน 373 kW(507 แรงม้า)
11. เครื่องยนต์ไฟฟ้าของ BMW i3 (IO1) (2013)
เครื่องยนต์ BMW i3 ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อผู้ขับไม่ต้องกังวลเรื่องระยะการใช้งานอีกต่อไปแล้ว ขณะเดียวกับไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาเลยกับการชาร์จไฟแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นความประหยัด พลังงานสะอาด ที่มาพร้อมกับพลังแห่งการขับเคลื่อนอันเร้าใจ!
คุณลักษณะ
– เครื่องยนต์ไฟฟ้า
– พลังขับเคลื่อน 125kW (170แรงม้า)
– ความจุไฟฟ้าแบตเตอรี่ 37.9 กิโลวัตต์/ชั่วโมง
12. เครื่องยนต์ไฮบริด 3 สูบและไฟฟ้าของ BMW i8 (I12) (2014)
BMW i8 คือรถยนต์ไฟฟ้าและให้ความรู้สึกแบบสปอร์ตได้ด้วยเครื่องยนต์คู่ที่ทำงานร่วมกัน i8 ได้พลังงานขับเคลื่อนทั้งจากไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซิน การทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์ไฮบริด 3 สูบเทอร์โบและไฟฟ้าทำให้เกิดพลังงานขับเคลื่อนถึง 362 แรงม้า โดยเครื่องยนต์เบนซินขับเคลื่อนล้อคู่หลังและขับเคลื่อนล้อคู่หน้าด้วยเครื่องยนต์ไฟฟ้า ด้วยการออกแบบที่ประกาศชัดว่าเป็นรถสปอร์ตด้วยอัตราเร่งจาก 0 ถึง 60 ไมล์/ชั่วโมงใน 5 วินาที และจุดเด่นคือความประหยัดเชื้อเพลิง จึงเป็นรถสไตล์สปอร์ตแห่งสตวรรษที่ 21 ที่นักวิจารณ์ยานยนต์ทั่วไปยอมรับ – BMW i8 PHEV ชนะรางวัล “Engine of the Year” ในปี 2019 เป็นปีที่ 5 ต่อเนื่อง นับเป็นการเปิดฉากยุคเครื่องยนต์ไฟฟ้าอันยิ่งใหญ่ของ BMW
คุณลักษณะ :
– เครื่องยนต์ 3 สูบพร้อมเทอร์โบชาร์เจอร์
– ความจุกระบอกสูบ 92 ลูกบาศก์นิ้ว(1.5 ลิตร)
– เครื่องยนต์ไฟฟ้า
– พลังขับเคลื่อน 96kW(131 แรงม้า)
– ความจุไฟฟ้าแบตเตอรี่ 11.6 กิโลวัตต์/ชั่วโมง
และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของ การพัฒนานวัตกรรมเครื่องยนต์ที่ BMW ไม่เคยหยุดพัฒนามากว่า 100 ปี ซึ่งเชื่อเถอะว่าพวกเขาจะไม่หยุดแค่นี้แน่!
*ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก www.bmw.com