BMW

รู้แล้วจะอึ้ง! ย้อนไทม์ไลน์ BMW ซุ่มพัฒนานวัตกรรมรถไฟฟ้ามากว่า 40 ปี

หากย้อนไปเมื่อ 40 ปี แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า BMW เริ่มพัฒนานวัตกรรมรถไฟฟ้ากันมาก่อนแล้ว ทำการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้ไม่เคยหยุดนิ่งจนถึงทุกวันนี้

Home / AUTO, TREND / รู้แล้วจะอึ้ง! ย้อนไทม์ไลน์ BMW ซุ่มพัฒนานวัตกรรมรถไฟฟ้ามากว่า 40 ปี

หากตั้งคำถามว่า 10 ปีที่แล้วเราทำอะไรอยู่ คงนึกและตอบได้ยาก แต่สำหรับรถยนต์ระดับตำนานอย่าง BMW หากย้อนไปเมื่อ 40 ปี แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า BMW ได้เริ่มพัฒนานวัตกรรมรถไฟฟ้ากันมานานแล้ว และยังคงทำการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้ไม่เคยหยุดนิ่งจนถึงทุกวันนี้ ตามแผนการที่เคยประกาศไว้ว่าจะผลิตรถไฟฟ้าให้ได้ 25 รุ่น ก่อนปี 2025 แบบนี้ขอพาย้อนไทม์ไลน์ไปดูยานยนต์ไฟฟ้าของ BMW ว่าพัฒนามาไกลขนาดไหนแล้ว

1.

ในปี 1972 นับเป็นก้าวแรกในโลกของรถยนต์ไฟฟ้าครั้งสำคัญของ BMW ด้วยการเปิดตัว 1602e คันนี้ โดยรับหน้าที่สำคัญในฐานะรถนำขบวนนักวิ่งมาราธอนในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 1972 ที่มิวนิก ซึ่งการใช้รถไฟฟ้ามานำขบวนนักวิ่งถือว่ามีความเหมาะสมเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงในห้องเครื่อง ทำให้นักวิ่งที่วิ่งตามไม่ต้องสูดไอเสียเข้าไป โดยเจ้า 1602e วิ่งได้ระยะทาง 60 กิโลเมตร เป็นระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงพระราชวังบางปะอินพอดิบพอดี

2. 

The LS Electric คือรถที่เป็นโปรเจกต์ลับๆ ของ BMW ซึ่งผลิตขึ้นในปี 1975 โดยติดตั้งแบตเตอรี่ตะกั่วจำนวนมากถึง 10 ก้อนอัดแน่นอยู่ในห้องเครื่อง ซึ่งทำให้ต้องใช้น้ำจากหม้อน้ำมาช่วยระบายความร้อน แต่น้ำหนักจากแบตเตอรี่ที่มากขนาดนั้นจึงยังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับรุ่นนี้ และถึงแม้จะชาร์จได้จากไฟบ้าน (230V) แต่ก็ใช้เวลาชาร์จนานถึง 14 ชั่วโมง แต่สามารถวิ่งได้ระยะทางเพียง 30 กิโลเมตรเท่านั้น นั่นคือระยะทางจากกรุงเทพฯถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

3.

ต่อมาในปี 1981 BMW เริ่มโครงการวิจัย “รถยนต์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่พลังงานสูง” ซึ่งนำมาสู่ BMW 325iX ทั้ง 8 คัน ที่ออกมาในปี 1987 โดยวัตถุประสงค์หลักคือการทดสอบแบตเตอรี่โซเดียม – ซัลเฟอร์ (NaS) ที่ไม่ต้องการการบำรุงรักษา แต่เนื่องจากแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มีพลังงานหนาแน่นแบตเตอรี่ตะกั่วกรดถึง 3 เท่า BMW จึงต้องพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วยตรวจสอบการชาร์จพลังงานจากเต้าเสียบ โดยทดลองใช้ในงานบริการไปรษณีย์และงานของเจ้าหน้าที่รัฐบาลของเยอรมนี โดยวิ่งได้ระยะทาง 150 กิโลเมตร เทียบคือจากกรุงเทพฯไปพัทยานั่นเอง

4.

จากความสำเร็จของแบตเตอรี่ NaS ทำให้ BMW สามารถออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าได้ตั้งแต่ในขั้นเริ่มต้น โดยตั้งไว้เป้าว่าในโมเดลใหม่ๆ นั้นจะต้องมีความสะดวกสบายสำหรับผู้ใช้ และมีความปลอดภัยระดับสูง ในขณะที่วิศวกรต้องลดน้ำหนักตัวรถเพื่อให้แบตเตอรี่มีความสมดุล แต่หลังจากนั้นเพียง 10 เดือนจึงผลิต BMW E1 ออกมาในปี 1991 ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของรถไฟฟ้ายุคใหม่ และได้ชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของ BMW i3 แต่ไม่รู้เหราะเหตุผลใด BMW E1 ก็ไม่เคยถูกผลิตมาใช้งานจริงๆ ทั้งๆ ที่มันสามารถวิ่งได้ระยะทาง 241 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯไปไกลถึงเขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เลยล่ะ

5.

จากความสำเร็จที่ผ่านมา BMW จึงมองว่าในซีรีส์ 3 รุ่นใหม่ๆ ที่จะผลิตออกมา สามารถเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าได้โดยไม่ยุ่งยาก เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้ามีน้ำหนักเพียง 65 กิโลกรัมเท่านั้น ในปี 1992 จึงได้ผลิตตัวต้นแบบ BMW 325 Electric ออกมา 25 คัน ซึ่งถูกทดลองใช้โดยพนักงานของ BMW และเจ้าหน้าที่รัฐบาลเยอรมนี แต่กลับวิ่งได้ระยะทาง 151 กิโลเมตร คือจากกรุงเทพฯไปถึงพัทยาเท่านั้น เนื่องจากมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับแบตเตอรี่โซเดียม – ซัลเฟอร์

6.

ต่อมาในปี 2010 BMW 1Series ActiveE ถูกผลิตมา 1,000 คัน เพื่อเก็บข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในโครงการ Megacity Project วัตถุประสงค์คือการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่รวดเร็วและมีความสามารถสำหรับถนนในเมืองที่แออัดในจุดต่างๆ ของโลก โดยให้คนทั่วไปในอเมริกาและยุโรปทดลองขับเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งข้อมูลที่ได้มาจะกลายเป็นรากฐานสำหรับ Project i และการพัฒนาต่อมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า BMW i3 และ BMW i8 ในทุกวันนี้ ซึ่งตัวต้นแบบนี้ยังคงวิ่งได้ระยะทางเท่าเดิมคือ 151 กิโลเมตร กรุงเทพฯ-พัทยา

7.

จากข้อมูลที่ได้ทั้งหมดในโครงการ Megacity Project จึงเกิดเป็น BMW i3 ออกมาในปี 2013 ที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นรถไฟฟ้ารุ่นแรกของ BMW ที่ถูกผลิตขายจริง โดยออกแบบมาในคอนเซปต์ที่รักโลกสุดๆ เพราะอุปกรณ์ตกแต่งภายในรถส่วนใหญ่สามารถนำมารีไซเคิลได้ โดยสามารถวิ่งได้ระยะทาง 183 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯไประยองได้แบบชิลล์ๆ

8.

จาก BMW i3 จึงพัฒนาต่อจนมาถึงปี 2014 จึงออก BMW i8 มาในคอนเซปต์รถไฟฟ้าสปอร์ตแห่งอนาคต รถยนต์ที่ใครๆ ก็ฝันถึง เพราะด้วยดีไซน์สุดล้ำประตูแบบปีกนกที่เหมือนยานอวกาศที่แค่ไปยืนข้างๆ ก็รู้สึกหล่อขึ้นมาในทันที โดยถ้าวิ่งแบบใช้ระบบไฟฟ้าจะได้ระยะทาง 37 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯไปถึงปทุมธานี

9.

ในปีเดียวกันนั้น BMW i8 ยังได้พัฒนาให้เข้ากับระบบไฮบริด ที่ใช้ได้ทั้งพลังงานไฟฟ้าและน้ำมัน สามารถเร่งความเร็วแบบหลังติดเบาะ 0-60 กม./ชม. ภายในเวลา 4.2 วินาทีเท่านั้น และยังได้ระยะทางไกลถึง 600 กิโลเมตร สามารถวิ่งตั้งแต่กรุงเทพฯ ไปถึงลำปางได้เลย

10.

และเร็วๆ นี้ BMW ก็เตรียมนำเสนอ BMW iX3 รถ SUV ไฟฟ้า 100% คันแรก เซึ่งป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจของ BMW เพราะล้ำหน้าสุดๆ ด้วยระบบชาร์จไฟด่วนเพียง 30 นาที ก็วิ่งได้ถึง 400 กิโลเมตร สามารถวิ่งจากกรุงเทพขึ้นไปเที่ยวเขาค้อได้แบบสบายๆ

และนี่คือเส้นทางพัฒนาการด้านนวัตกรรมรถไฟฟ้าของ BMW ซึ่งแทบไม่เชื่อเลยว่า 40 ปีที่แล้ว BMW จะริเริ่มและไม่หยุดพัฒนาจนมาถึงทุกวันนี้