วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวิหาร

วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวิหาร หนึ่งในพระอารามหลวง วัดสวยกรุงเทพ ที่น้อยคนจะเคยเข้าหรือรู้จัก หากแต่วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา และได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานสำคัญในเขตกรุงเทพมหานคร มาตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2492 มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และยังเป็นสำนักเรียนบาลีขนาดใหญ่ อันเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการเผยแผ่ศาสนาพุทธมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจวบจนถึงทุกวันนี้ที่ปัจจุบันมีพระภิกษุและสามเณรจำวัดอยู่ราว 800 รูปด้วยกัน

ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร
- เคยเป็นวัดในเขตพระราชฐานในสมัยกรุงธนบุรี
- เป็นวัดที่พระเจ้าแผ่นดิน 4 รัชกาลเป็นอย่างน้อย ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งพระอาราม
เป็นสถานที่ศึกษาอักษรสมัยเบื้องต้นของพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเมื่อยังทรงพระเยาว์ และพระราชโอรสเหล่านั้นได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน 3 พระองค์ คือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นที่สถิตของสมเด็จพระราชาคณะผู้ทรงคุณธรรมสำคัญ คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) ผู้เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงผนวช และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉุย) ทรงภูมิปัญญาด้านพระบาลีอย่างเอกอุ

ประวัติวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร
เป็นวัดโบราณสร้างสมัยกรุงศรีอยุธยาเดิมเรียกว่า วัดท้ายตลาด เพราะอยู่ต่อจากตลาดเมืองธนบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี ทรงรวมวัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) และวัดท้ายตลาดเข้าไว้ในเขตพระราชวัง จึงเป็นวัดไม่มีพระสงฆ์อยู่ประจำตลอดรัชกาล
ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงย้ายราชธานีไปตั้งอยู่ฟากฝั่งตะวันออกคือ กรุงรัตนโกสินทร์ทรงโปรดให้สร้างเสนาสนะขึ้นที่วัดแจ้งและวัดท้ายตลาด เฉพาะวัดท้ายตลาดโปรดให้พระมหาศรี เปรียญเอกวัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) เป็นพระเทพโมลี (ต่อมาภายหลังเป็นพระพุทธโฆษาจารย์) โปรดให้นำพระสงฆ์อันดับมาครองวัดท้ายตลาด
ส่วนวัดแจ้งโปรดให้พระปลัดในสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระโพธิวงศาจารย์ พระครูเมธังกร เป็นพระศรีสมโพธิแล้วโปรดให้พระราชาคณะทั้ง 2 รูป ไปครองวัดแจ้ง ทำให้วัดท้ายตลาดและวัดแจ้งจึงมีพระสงฆ์อยู่ประจำและเป็นพระอารามหลวงนับแต่นั้นมา
ในสมัยรัชกาลที่ 2 ทรงปฏิสังขรณ์วัดท้ายตลาดและพระราชทานนามว่า วัดพุทไธศวรรย์ ในรัชกาลนี้สมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์ พระบรมราชชนนี ทรงสร้างพระอุโบสถขึ้นหลังหนึ่ง คือ พระอุโบสถหลังปัจจุบัน มีพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) เป็นราชาคณะขณะนั้นซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของเจ้านายในสมัยนั้นมากและยังเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ (อาจารย์ผู้ให้ความสำเร็จกรรมวาจา คือ คู่สวด : แปลตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525. หน้า 13)
สมัยรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดให้บูรณะวัดท้ายตลาดใหม่ทั้งอารามและพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดโมลีโลกย์สุธาราม” สันนิษฐานว่าน่าจะมากจากมีพระเกศาของรัชกาลที่ 3 และ 4 ประดิษฐานอยู่ ต่อมาเรียกวัดนี้ว่า “วัดโมลีโลกยาราม” ในรัชสมัยนี้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถึงแก่มรณภาพ เมื่อ พ.ศ. 2386 รัชกาลที่ 3 จึงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) ประดิษฐานไว้ในหอที่วัดโมลีโลกยารามเพื่อสักการะบูชา นอกจากนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงรื้อพระตำหนักแดง ที่เคยประทับในพระบรมมหาราชวังไปสร้างถวายที่พระราชวังเดิมทั้งหมู่ ครั้นเมื่อสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้รื้อตำหนักแดงไปสร้างถวายเป็นกุฏิเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม
สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้กระทำผาติกรรม ย้ายพระตำหนักแดงไปสร้างเป็นกุฏิเจ้าอาวาสวัดเขมาภิรตาราม ซึ่งเป็นวัดที่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีทรงปฏิสังขรณ์ และทรงสร้างกุฏิตึกพระราชทานเจ้าอาวาส หอสวดมนต์ และหอกลาง ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ พระองค์ได้ทรงบูรณะพระอุโบสถโดยพระราชทานตราไอยราพรต ซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดินสมัยนั้นประดิษฐานไว้ที่หน้าบันพระอุโบสถด้วย
ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบูรณะหอพระไตรปิฎกตรงกับสมัยพระธรรมเจดีย์ (อยู่) เป็นเจ้าอาวาส และเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคเพื่อถวายผ้าพระกฐิน หลายปี เช่น พ.ศ. 2418, 2433, 2443 เป็นต้น
ครั้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงจัดลำดับพระอารามหลวง โปรดให้วัดโมลีโลกยารามเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิด ราชวรวิหาร และเสด็จพระราชดำเนินมาทอดผ้าพระกฐิน พ.ศ. 2458
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินปี 2469
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เคยเสด็จพระราชดำเนินมาทอดผ้าพระกฐินเมื่อวันพุธที่ 25 ตุลาคม 2521 นอกจากนั้น ในปีพุทธศักราช 2549 รัฐบาลยังได้บูรณะพระอาราม โดยเฉพาะเขตพุทธาวาส ได้แก่ พระอุโบสถ พระวิหาร หอสมเด็จ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี อีกด้วย
อีกทั้งสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมาวัดโมลีโลกยารามเพื่อนมัสการพระประธานในพระอุโบสถและเพื่อทอดพระเนตรหอพระไตรปิฎกสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อวันที่ 12 มกราคม พุทธศักราช 2541
เสนาสนะสำคัญภายในวัด

พระอุโบสถลักษณะทรงไทยยุคต้นรัตนโกสินทร์ ขนาดกว้าง 9.50 เมตร ยาว 25 เมตร หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ ช่อฟ้า ใบระกาไม้สักลงรักปิดกระจก ภายในผนัง และเพดานเขียนภาพทรงข้าวบิณฑ์ ประตูและหน้าต่างแกะสลักลายกนกลงรักปิดทองงดงาม หน้าบันมีตราไอยราพรตรัชกาลที่ 4 ตามหลักฐานน่าจะสร้างในรัชกาลที่ 1 ที่โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (รัชกาลที่ 2) รับเป็นธุระสร้างขึ้น และได้รับการปฏิสังขรณ์ใหม่ในรัชกาลที่ 4 จึงมีตราประจำรัชกาลประดิษฐานที่หน้าบัน


พระประธานในอุโบสถ : พระพุทธโมลีโลกนาถ
เป็นพระพุทธรูปหล่อสำริด ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 81 นิ้ว มีพุทธลักษณะงดงามมาก จะสร้างขึ้นพร้อมกับพระอุโบสถหรือมีมาแต่เดิมยังไม่ปรากฏหลักฐาน พระพรหมกวี (วรวิทย์) อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 12 ได้ถวายนามว่า “พระพุทธโมลีโลกนาถ” เป็นพระพุทธรูปโบราณ ศักดิ์สิทธิ์ ทรงอิทธานุภาพ เป็นปูชนียวัตถุเป็นที่สักการะของพระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร และเหล่าราษฎรมาตั้งแต่ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์

พระพุทธโมลีโลกนาถ


อาคารโมลีปริยัติยากร ใช้เป็นที่ศึกษาทั้งปริยัติและปฏิบัติ และบำเพ็ญกุศล ด้านบน ประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชปางกษัตริย์ และพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชปางทรงผนวช

พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช




พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชปางทรงผนวช


พระวิหาร
เป็นปูชนียสถานที่นับว่าเก่าแก่ที่สุดของวัด ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถหันหน้าลงสู่ลำคลองบางกอกใหญ่ สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมา เมื่อวัดนี้ได้ถูกรวมเข้าเป็นเขตพระราชฐานพระราชวังธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงใช้เป็นสถานที่เก็บเกลือ เพราะสมัยนั้นเกลือมีความสำคัญในการถนอมอาหารในการเดินทัพ นับเป็นยุทธปัจจัยสำคัญในการรบ จนถึงมีคำกล่าวกันว่า “หากจะโจมตีบ้านเมือง จะต้องทำลายฉางเกลือ คลังเสบียง และคลังแสงให้ได้” จึงเรียกกันว่า “พระวิหารฉางเกลือ” จนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือว่ามีหนึ่งเดียวในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์
พระวิหารมีลักษณะทรงไทยผสมจีน ขนาดกว้าง 8.75 เมตร ยาว 19.75 เมตร หลังคามุงกระเบื้องเคลือบดินเผา ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ปันด้วยปูน ด้านในกั้นเป็น 2 ห้อง ด้านหลังเป็นห้องเล็กมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ นามว่า พระปรเมศ ผนังและเพดานพระอุโบสถเขียนลวดลายงดงาม ประตูหน้าต่างเขียนลายรดน้ำ เพดานเขียนดาวลายเป็นกลุ่มดาว
พระอุโบสถและพระวิหารทั้งสอง นี้มีกำแพงแก้วล้อมรอบ กำแพงสูงประมาณ 4 ศอก นับว่า เป็นพระวิหารที่มีลักษณะพิเศษที่หาดูได้ยากยิ่งนัก

หอสมเด็จ
หอนี้แบ่งเป็น 2 ชั้น คือชั้นฐานและชั้นตัวหอ ชั้นฐานรองรับหอสมเด็จและพระเจดีย์ มีบันไดขึ้นลง 2 ทาง แบ่งเป็นช่องๆ แต่ละช่องมีรูปปั้นทหารแบกฐานไว้แต่ชำรุด ชั้นตัวหอ ประกอบด้วยหอสมเด็จและองค์พระเจดีย์ทรงลังกาประจำอยู่มุมละ 1 องค์ นัยว่าเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระเมาฬีของรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 ด้านหน้าเป็นอุโมงค์บรรจุรอยพระพุทธบาทจำลอง ภายในประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ ประตูและหน้าต่างเขียนภาพลายรดน้ำ
รูปหล่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน)
นั่งขัดสมาธิขนาดเท่าตัวจริง ประดิษฐานอยู่บนแท่นซึ่งมีคำจารึกที่ฐานรูปหล่อว่า ศุภมัสดุ พระพุทธศักราชล่วงแล้วสองพันสามร้อยแปดสิบหกพระวษา ณ วันจันทร์ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ เบญจศก พระบาทสมเด็จบรมธรรมมฤกมหาราชาธิราชรามาธิบดี บรมนารถบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการมา ณ พระบัณฑูรสุรสีหนาทดำรัสสั่ง หลวงกัลป์มาวิจิตรเจ้ากรมช่างปั้นขวาและอาจารย์ฉิม กรมราชบัณฑิตย์ ให้จำลองหล่อพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลย์สุนทรนายกติปิฏกธรา มหาคณฤษร บวรสังฆาราม คามวาสีบพิธ อันสถิต ณ พุทไธยสวรรยาวาศ วรวิหาร ไว้เป็นที่สักการะบูชาแก่สานุศิษย์ทั้งปวงสืบไป
หอพระไตรปิฎก
เรียกทั่วไปว่า หอไตร เป็นอาคารไม้ทรงไทยพื้นสูง หลังคามุงกระเบื้องเคลือบใช้ปูนปั้นรูปเจดีย์ แทนช่อฟ้า ประตู หน้าต่าง และผนังด้านในเขียนภาพลายรดน้ำสวยงาม คงสร้างในรัชกาลที่ 3 และปฏิสังขรณ์ก่ออิฐเสริมชั้นล่างทำเป็นห้อง จึงเสียรูปทรงเดิมไปปัจจุบันชำรุดมาก
ธรรมาสน์ลายทอง
เป็นเครื่องสังเค็ด ในคราวงานถวายพระราชทานเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
คัมภีร์ภิกขุปาติโมกข์
พร้อมทั้งตู้และธรรมาสน์สำหรับนั่งสวด ซึ่งเป็นเครื่องสังเค็ดในงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์
จำหลักหิน
รูปจำหลักหิน ชาวบ้านเรียก ตุ๊กตาหิน เป็นสถาปัตยกรรมพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 นำเข้ามาจากประเทศจีนโดยพ่อค้าชาวจีนนำมาถวายคาบเกี่ยวจนถึงในสมัยรัชกาลที่ 4 ในกรุงเทพฯ ทั้งฝั่งธนบุรีและฝั่งพระนคร แต่มีมากที่สุดคือฝั่งธนบุรีแถวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตอนเหนือของกรุงเทพฯ ตามคลองซอยเล็กๆ




ที่นี่ยังคงสืบสานการเป็นสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีที่มีผู้สอบได้เปรียญธรรมมากเป็นระดับต้น ๆ ของประเทศ และเป็นสำนักเรียนบาลีขนาดใหญ่ของกรุงเทพอีกด้วย





























ภาพโดย MTHAI TEAM
ที่อยู่ : เลขที่ 2 ซอยวังเดิม 6 ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 10600
Google map : https://maps.app.goo.gl/SJq3AXeLLzdeEx258
เวลาทำการ : 08.00 น. – 16.00 น.
เสียค่าจอดรถ 30 บาท
เนื้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
28 ธันวาคม วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี
กราบสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วัดเวฬุราชิณ วัดสวยฝั่งธน
ขอพรโชคลาภ ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ริมคลองบางลำพู