ชาไข่มุก ลำไส้อุดตัน

หนุ่มกิน ‘ชาไข่มุก’ แทนอาหาร สุดท้ายปวดท้องหนักหมอเจอก้อนแป้งอุดลำไส้

เว็บไซต์เวียดนามเน็ต รายงานว่า ชายชาวเวียดนามวัย 20 ปี เกิดปวดท้องอย่างรุนแรง โดยได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งผลเอกซเรย์พบว่ามีการอุดตันของลำไส้ เมื่อผ่าออกพบก้อนแป้งมันสำปะหลัง สีเขียวดำขนาดใหญ่ 2 ก้อน ซึ่งชายหนุ่มคนดังกล่าวระบุว่าได้ดื่มชาไข่มุกแทนอาหารทั้ง 3 มื้อ…

Home / NEWS / หนุ่มกิน ‘ชาไข่มุก’ แทนอาหาร สุดท้ายปวดท้องหนักหมอเจอก้อนแป้งอุดลำไส้

ประเด็นน่าสนใจ

  • ชายชาวเวียดนามวัย 20 ปี เกิดปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งผลเอกซเรย์พบว่ามีการอุดตันของลำไส้ เมื่อผ่าออกพบก้อนแป้งมันสำปะหลัง
  • สาเหตุมาจากดื่มชาไข่มุกแทนอาหารทั้ง 3 มื้อ

เว็บไซต์เวียดนามเน็ต รายงานว่า ชายชาวเวียดนามวัย 20 ปี เกิดปวดท้องอย่างรุนแรง โดยได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งผลเอกซเรย์พบว่ามีการอุดตันของลำไส้ เมื่อผ่าออกพบก้อนแป้งมันสำปะหลัง สีเขียวดำขนาดใหญ่ 2 ก้อน ซึ่งชายหนุ่มคนดังกล่าวระบุว่าได้ดื่มชาไข่มุกแทนอาหารทั้ง 3 มื้อ

ทั้งนี้มีรายงานว่าชายคนดังกล่าว มีอาการปวดท้องมาตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งอาการปวดท้องรุนแรงมากขึ้น ทางครอบครัวพาไปที่สถานีอนามัยใกล้บ้าน หลังจากการรักษาได้ 5 วัน จึงถูกย้ายไปที่โรงพยาบาลในวันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา

โดยแพทย์ได้ตรวจวินิจฉัยแล้วพบว่า คนไข้มีการอุดตันของลำไส้เนื่องจากเศษอาหารที่ไม่ได้ย่อย และตกค้างจนเป็นก้อนแข็ง ทีมแพทย์จึงต้องทำการผ่าตัด กระเพาะอาหารและลำไส้ขจัดสิ่งตกค้างสีดำขนาดใหญ่ 2 อันในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ซึ่งต่อมานำไปตรวจสอบและพบว่ามีส่วนประกอบของแป้งมันสำปะหลัง

นอกจากนี้แพทย์ยังระบุด้วยว่า หากไม่นำก้อนดังกล่าวออกจาลำไส้ ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อพิษเนื้อร้ายในลำไส้ จนเกิดเกิดการล้มเหลวของอวัยวะและถึงขึ้นเสียชีวิต

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ได้มีกระแสข่าวเด็กชาวจีนกินชานมไข่มุกจนไข่มุกอุดตันในลำไส้ ซึ่งภาพที่ปรากฎในฟิล์มเอกซเรย์เป็นก้อนกลมๆ

ต่อมา นพ.นรินทร์ อจละนันท์ สาขาวิชาโรคทางเดินอาหารและตับ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เปิดเผยว่า ตัวไข่มุกในชาไม่น่าจะเป็นสาเหตุของการอุดตันในลำไส้ได้ ยกเว้น ผู้ที่บริโภคมีโรคผิดปกติ เช่น ลำไส้เล็กตีบจากพังผืด ก้อน หรือแผล และโดยทั่วไปเม็ดไข่มุกที่ทำจากแป้งมันสำปะหลังจะไม่สามารถอุดตันในลำไส้ได้

ที่มา… : vietnamnet