เสวนากรณีที่ดิน ส.ป.ก. ‘ปลอดประสพ’ แนะนิยามคำว่า ‘เกษตรกรรม’ ให้กว้างขวางแต่ชัดเจน เพื่อเป็นทางการแก้ไขปัญหา
เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (21 ม.ค.62) ที่ บริเวณชั้น 1 ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้จัดเสวนาหัวข้อเรื่อง ส.ป.ก. โดยมีการพูดถึงนโยบายการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมของพรรคเพื่อไทย พร้อมระบุถึงปัญหาพื้นที่ ส.ป.ก. และการกำหนดนโยบาย รวมถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
โดย ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี กล่าวว่าปัญหาหลักๆ คือ ต้องรักษาพื้นที่ ส.ป.ก. และต้องใช้กับการเกษตรเท่านั้น จากปัญหาปัจจุบัน พื้นที่ ส.ป.ก. บางแห่งมีการพัฒนาไปเป็นเมืองไม่สามารถบริหารจัดการให้เป็นพื้นที่เกษตรกรได้
ซึ่งต้องแก้ไขให้ผู้ที่ได้รับ ส.ป.ก. แต่ไม่อยากเป็นเกษตรกรต่อ และได้แอบนำไปขายสามารถโอนสิทธิได้โดยเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ รวมถึงต้องแก้ไขปัญหากรณีผู้ที่รับมรดกแต่ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้ เนื่องด้วยตัวบุคคลที่ได้รับมอบนั้นไม่ได้เป็นเกษตรกร และอีกปัญหาสำคัญคือมีการแอบอ้างจำน่ายที่ดิน ส.ป.ก. อย่างผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก
ซึ่งปัญหาดังกล่าวทางพรรคเพื่อไทย ได้กำหนดนโยบายไว้ว่า พื้นที่ ส.ป.ก. จะต้องเพิ่มวัตถุประสงค์ โดยแก้ไขเพิ่มเติมนิยามคำว่า ‘เกษตรกรรม’ ให้กว้างขวางแต่ชัดเจน อาทิเช่น ‘ป่าเศรษฐกิจ’ ‘ป่าท่องเที่ยว’ ‘อุตสาหกรรมเกษตร’ หรือ ‘แปรรูปการเกษตร’ โดยที่ดิน ส.ป.ก. ต้องสามารถถ่ายโอนได้ระหว่างเกษตรกรด้วยกัน ซึ่งการถ่ายโอนนั้นต้องกระทำผ่านธนาคารที่ดิน ส.ป.ก. เท่านั้น
นอกจากนี้การถ่ายโอนที่ดินทุกครั้งจะเกิดรายได้ขึ้น เนื่องจากผู้ที่ครอบครองอยู่เดิมได้มีการพัฒนาที่ดินไปจากเดิม จึงสมควรที่จะได้รับประโยชน์ รวมถึงหากพื้นที่ที่ ส.ป.ก. ได้รับจากกรมป่าใม้และได้ประกาศเขตคลุมไว้ และภายหลังมีการพัฒนาเป็นเมือง
กระทั่ง ส.ป.ก. ไม่สามารถจัดการได้ หรือไม่เหมาะสมที่จะทำการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ให้ใช้มติ ครม. ในการกำหนดนโยบายกันพื้นที่ออกจากเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และนำเข้าสู่ระบบป่าจำแนกเพื่อจำแนกเป็นป่าถาวร ที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ราชการ
ส่วนแนวทางการปฏิบัตินั้น ต้องมีการสำรวจสภาพการใช้ที่ดินในรายละเอียด เพื่อทราบจำนวนของผู้ที่ไม่ประสงค์จะเป็นเกษตรกรอีกต่อไป และมีพื้นที่เท่าไรบ้าง พร้อมหาข้อมูลผู้ที่ได้รับมรดกและไม่ประสงค์ที่จะดำเนินการเพื่อใช้ในการเกษตรต่อ มีจำนวนเท่าไร อีกทั้งควรปรับปรุงกฎหมาย ส.ป.ก. โดยขยายหรือให้รายละเอียด เพื่อให้การปฏิบัติสามารถนำไปสู่นโยบายได้ชัดเจน
อีกทั้งพื้นที่ที่ ครม. มีมติให้กันออก ให้มีการแก้ไขแนวเขตพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินโดย ครม. ต้องมีมติมอบให้หน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบดูแลต่อไป