Forbes นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจ และการเงินในสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เผย 10 อันดับ นักกีฬาที่สามารถกอบโกยเม็ดเงินได้มหาศาลมากที่สุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา!! แต่ละคนเราคุ้นชื่อกันแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น Tiger Woods, LeBron James และ Cristiano Ronaldo เป็นต้น โดยอ้างอิงรายได้ทั้งหมดจากเงินเดือน, เงินรางวัลอื่นๆ, โบนัส หรือการออกอีเว้นท์โชว์ตัว ซึ่งนักกีฬาทั้ง 10 อันดับมีรายได้รวมกันกว่า 6.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.8 แสนล้านบาทเลยทีเดียว!! แต่ละอันดับจะมีใครบ้าง ลองไปชมกันได้เลย…
อันดับ 10. Lewis Hamilton เจ้าของตำแหน่งแชมป์โลก F1 6 สมัย รายได้รวมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท)
อันดับ 9. Kevin Durant รายรับอยู่ที่ 425 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงกว่า 400% ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
อันดับ 8. Manny Pacquiao ยอดมวยวัย 41 ปี ชาวฟิลิปปินส์ อดีตแชมป์โลกมวยสากลถึง 8 รุ่น รายได้รวมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 435 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท)
อันดับ 7. Phil Mickelson โปรกอล์ฟมือซ้ายในตำนาน เจ้าของแชมป์เมเจอร์ 5 สมัย และ 44 แชมป์พีจีเอทัวร์ รายได้รวมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 480 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท)
อันดับ 6. Tiger Woods นักกอล์ฟที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาล รายได้รวมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 615 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท)
อันดับ 5. Roger Federer นักเทนนิสที่ครองเบอร์ 1 ของโลกยาวนานที่สุดถึง 237 สัปดาห์ติดต่อกัน รายได้รวมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 640 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท)
อันดับ 4. LeBron James คือ นักบาสเกตบอล NBA ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน มีรายได้รวมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 680 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท)
อันดับ 3. Lionel Messi เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์คนล่าสุด รายได้รวมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 750 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท)
อันดับ 2. Cristiano Ronaldo นักฟุตบอลชาวโปรตุเกสวัย 34 ปี เป็นนักกีฬาที่มีคนติดตามในโซเชี่ยลมีเดียมากที่สุดในโลก รายได้รวมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 800 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท)
อันดับ 1. Floyd Mayweather Jr. ยอดนักมวยสากลชาวอเมริกัน จ้าตำแหน่งแชมเปี้ยนโลก 5 รุ่น มีสถิติไม่เคยแพ้หรือเสมอกับใคร รายได้รวมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 915 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท)
ที่มา: forbes