เผยโฉมนาฬิกา 7 รุ่นไฮไลท์จาก CASIO ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากงาน Basel World 2019 ที่จัดขึ้น ณ เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยในครั้งนี้ CASIO ได้นำเสนอเทคโนโลยี และนวัตกรรมในการผลิตนาฬิกาต่างๆ รวมถึงชิ้นงานฝีมืออันทรงคุณค่ามาร่วมจัดแสดงในงานฯ เพื่อเรียกน้ำย่อยจากสาวก G-SHOCK ด้วย 7 รุ่นสุดพิเศษที่เหล่าคนรักนาฬิกาห้ามพลาดเด็ดขาด
1.G-SHOCK MRG-G2000G-1A
ประเดิมรุ่นแรกกับนาฬิกาที่เรียกได้ว่ามีมูลค่าสูงสุดในงานจาก CASIO ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นทุนเดิม และเรียกได้ว่าปังที่สุดในตระกูลอย่าง MR-G เลยทีเดียว ในปีนี้ MR-G ได้แรงบันดาลใจจาก GASSAN ตระกูลช่างตีดาบจักรพรรดิ์เก่าแก่ของประเทศญี่ปุ่น ที่สืบสานตำนาน และฝีมือจากรุ่นสู่รุ่นมากว่า 800 ปี โดยได้รับเกียรติจากกัซซันในการแกะลายด้วยมือบนข้อสายด้วยเทคนิค yasuri-me พร้อมตราสัญลักษณ์อันทรงเกียรติประจำตระกูลประทับอยู่บนสาย โดดเด่นด้วยเฉดสีที่ทรงคุณค่าอย่างสีม่วงของชนชั้นสูงในอดีต และเทคนิคการชุบไทเทเนี่ยม 9 ชั้นแบบพิเศษบนตัวเรือน
ถือว่าพลาดไม่ได้เลยสำหรับนักคนรักนาฬิกา G-SHOCK ซึ่งถูกผลิตขึ้นเพียง 300 เรือนทั่วโลก และจะนำมาเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเพียง 5 เรือนเท่านั้น!!
2.G-SHOCK MTG-B1000RB-2G
เพื่อเป็นการฉลองครบ 20 ปี ของนาฬิกาซีรี่ส์รุ่นดัง ทาง G-SHOCK ได้ผลิตนาฬิการุ่นใหม่อย่าง MTG-B1000RB-2G ขึ้นมา พร้อมความพิเศษของกรอบหน้าปัดนาฬิการุ่นนี้ ที่ผ่านกรรมวิธีการเคลือบด้วยผิวสัมผัส (IP) สีรุ้ง จำลองเฉดสีของสายรุ้งจากแสงจันทร์ ที่เกิดขึ้นเมื่อแสงจันทร์ถูกหักเหโดยละอองน้ำ การไล่ระดับสีของกรอบแต่ละชิ้นจะแตกต่างกันเล็กน้อย ทำให้นาฬิกาแต่ละเรือนมีสีสันที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกอีกด้วย
3.G-SHOCK GRAVITY MASTER GWR-B1000-X
เป็นนาฬิการุ่นท็อปในซีรี่ส์ Carbon Core Guard ที่มีความแข็งแกร่ง ทนทาน พร้อมรูปลักษณ์ที่สวยงามทันสมัย ด้วยการใช้ตัวเรือนคาร์บอนแบบผสานรวมเป็นชิ้นเดียวกัน สร้างขึ้นจากคาร์บอน-ไฟเบอร์ ซึ่งแข็งแรงกว่าเหล็ก 10 เท่า และมีน้ำหนักเบากว่าถึง 4 เท่า สามารถต้านทานแรงดึงได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งโครงสร้างนาฬิกายังประกอบด้วยเส้นใยคาร์บอนเป็นครั้งแรกของโลก เพิ่มความแข็งแรง ทนทาน เหนือกว่าทั้งเหล็กหรือเรซิ่นทั่วไปในท้องตลาด GRAVITY MASTER มี 2 รุ่นให้เลือก คือ GWR-B1000-1A1 (สีน้ำเงิน x ดำ) และ GWR-B1000-1A (สีเทา x ดำ)
4.G-SHOCK MUDMASTER GG-B100
มาต่อกันที่รุ่นสุดเท่ ครองใจชายหนุ่มสายลุย โดยเป็นส่วนหนึ่งของนาฬิกาในตระกูล Master OF G Series ถูกออกแบบขึ้นเป็นพิเศษให้ทั้งทนต่อสภาพแวดล้อมสุดทรหด กับโครงสร้าง Carbon Core Guard ที่ผนึกกำลังมากับ Triple Resist ในแบบฉบับ DNA ของ Master OF G มีน้ำหนักเบาเพียง 92 กรัม และตัวกรองพิเศษระหว่างตัวเรือน และปุ่มกด ช่วยป้องกันฝุ่นละออง และโคลนได้เป็นอย่างดี มาพร้อมกับเซนเซอร์ 4 รูปแบบอย่าง เซ็นเซอร์เข็มทิศ เซ็นเซอร์ตรวจวัดความดันบรรยากาศ, ความสูง และอุณหภูมิ และเซ็นเซอร์นับก้าวเดิน นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นสมาร์ทโฟนได้ผ่านระบบบลูทูธอีกด้วย มีให้เลือก 2 สีได้แก่ GG-B100-1A1 สีดำ และ GG-B100-1A3 สีเขียวกากี
5.G-SHOCK GMW-B5000V
เตรียมพบกับ Full Metal ที่ทุกคนตั้งตารอ นาฬิกาที่ไม่ว่าเปิดตัวมากี่รุ่นก็หมดภายในพริบตา ครั้งนี้มากับรุ่นพิเศษในลุควินเทจ ด้วยสี Black Aged IP ที่โดดเด่นแบบไม่เหมือนใคร เป็นลักซ์ชัวรี่ไอเทม ที่เท่ห์แบบไร้กาลเวลา ทางด้านฟังก์ชั่นก็ไม่น้อยหน้าใครด้วยโหมด Connected Engine ที่เชื่อมต่อเวลาเซิฟเวอร์กลางผ่านทางสมาร์ทโฟน และสัญญาณวิทยุเวลา โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อนาฬิการุ่นนี้ผ่านแอพพลิเคชั่น G-SHOCK Connected บนสมาร์ทโฟน เพื่อการใช้งานที่สะดวกง่ายต่อการตั้งค่ายิ่งขึ้น
6.G-SHOCK GST-B200
ต่อกันที่นาฬิกาตัวเรือนคาร์บอนผสมสแตนเลส สตีล นาฬิกามาดเท่ มาพร้อมกับตัวเรือนทำจากคาร์บอน และกรอบสแตนเลสสตีลที่ให้ลุคสุขขุมแบบมีสไตล์ ทางด้านฟังก์ชั่นก็ไม่น้อยหน้านาฬิการุ่นอื่นที่ได้เปิดตัวไป สำหรับ G-STEEL GST-B200 มาพร้อมกับหน้าจอ LCD ที่ติดสว่างได้ในที่มืดช่วยเสริมทั้งในด้านฟังก์ชัน และดีไซน์ของหน้าปัด สามารถเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟนได้ผ่านระบบบลูทูธ ประหยัดพลังงานด้วยระบบ Tough Solar ระบบชาร์จไฟได้ด้วยพลังแสงอาทิตย์
7.G-SHOCK GA-2000
ปิดท้ายกันด้วยรุ่นสำหรับสายแฟชั่น ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี และความเท่ห์แบบฉบับ G-SHOCK กับรุ่น GA-2000 ที่เป็นนาฬิการุ่นแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้ส่วมใส่สามารถเปลี่ยนสายได้เอง และยังคงคอนเซ็ปต์ความแข็งแรงด้วยโครงสร้างเทคโนโลยี Carbon Core Guard ในแง่ของดีไซน์ GA-2000 มีสาย ให้เลือก MIX & MATCH มากมาย เหมาะกับคนที่ชื่นชอบการแต่งตัว เพิ่มความแข็งแรงด้วยโครงสร้างที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้มีน้ำหนักเบาแต่ยังคงความทนทานสุดๆ เหมาะกับไลฟ์สไตล์หนุ่มแอ๊คทีฟทั้งหลาย พร้อมราคาสุดโดนเพียง 5,700 บาท แถมใครที่อยากได้ทั้งสามสายยังสามารถซื้อเป็นเซ็ท พร้อมสายเปลี่ยนสองแบบเพียง 7,700 บาทอีกด้วย เรียกได้ว่าคุ้มสุดๆ ไปเลย