Women MThai ชวนคุณมา Exclusive Talk กับ สาว มิ้นท์ มณฑล กสานติกุล อาชีพของเธอคือ …”นักเดินทาง” เจ้าของเพจ I Roam Alone และ นักเขียน หนังสือ I Roam Alone หญิงสาวผู้เป็นแรงบันดาลใจในการออกเดินทาง บนเส้นทางการเดินทางโดยการแบ็คแพ็คเพียงตัวคนเดียว ท่องโลกกว้างในสถานที่ต่างๆ มากกว่า 80 ประเทศ และยังคงเดินทางต่อเรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง …
ทำไมเธอถึงออกเดินทางตัวคนเดียว ? อะไร…ที่เธอค้นพบ ? เธอได้อะไรจากการเดินทางในแต่ละครั้ง? หากคุณได้ดู….เรารู้ว่าคุณจะเก็บกระเป๋า แล้ว ตีตั๋วเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง เป็นแน่ ขอให้คุณพบกับคำตอบเหล่านั้นด้วยตัวคุณเองเช่นกันกับเธอคนนี้ ….“มิ้นท์ มณฑล กสานติกุล”
อะไรเป็นจุดเปลี่ยน จาก ลูกคุณหนู สาวอักษรฯ จุฬา คุณแม่ต้องไปรับ-ไปส่ง ช้อปปิ้งแบรนด์เนม สู่ สาวลุย ฉันเดินทางคนเดียวได้ ไปไหนไม่หวั่น
” การเดินทางค่ะ เป็นตัวเปลี่ยน เริ่มจาก จริงๆ ก็เที่ยวเหมือนชาวบ้านทั่วไป เที่ยวเป็นกลุ่มไปกับเพื่อน ลากคนนั้น คนนี้ไป แล้วได้มาทำงานอยู่ในวงการนักท่องเที่ยว พาคนเดินเที่ยวในกรุงแมดริด ก็ได้เจอคนที่เขาเดินทางคนเดียว เราก็ถามเขา ว่า” เดินทางคนเดียวไม่เหงาเหรอ ไม่กลัวเหรอ ” ผู้หญิงคนนี้ ก็ตอบมิ้นท์ว่า “สักครั้งในชีวิตให้ลองทำดู ไม่ต้องมาถามฉัน” คำถามนี้ก็เลยอยู่กับมิ้นท์มาประมาณหนึ่งปี และก็ได้ออกเดินทางคนเดียว ด้วยความบ้าล้วนๆ ไม่มีสติปนเลย”
ทริปแรก ของการเดินทางคนเดียว ของมิ้นท์ เป็นไงบ้าง
” ทริปแรกก็ Roller Coaster นะ เพราะเราเจอทั้งคนดี๊ดีย์ และก็เจอคนไม่ดีเราเจอความเหงา เราได้เพื่อน เราร้องไห้ คือมันเป็นส่วนผสมของทุกอย่างเลย เป็นครั้งแรกที่เราได้รู้จักด้านที่ไม่ค่อยดีของการเดินทางคนเดียวด้วยนะ การเดินทางคนเดียวคือ เราไม่มีแบ็คอัพ เพราะฉะนั้นเวลาเกิดอะไรขึ้นมา คือเราล้วนๆ เรารับเต็มๆ อย่างเช่น ตอนนั้นที่ไปทริปแรก โดนไล่ออกจากที่พัก ก็ร้องไห้ออกมาคนเดียว จัดการชีวิตตัวเองไม่ได้”
แล้วตอนนั้นจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นยังไงบ้างคะ
“ร้องไห้ค่ะ ตอนนั้นเราไม่เข้มแข็งพอที่จะทำอย่างอื่นน่ะ เราก็ร้องไห้แล้วเราก็ถอย กลับไปเก็บของ ย้ายออกมา เปลี่ยนที่พัก ก็เท่านั้น”
ย้อนกลับไปตอนนั้น กับ ตอนนี้ คิดว่าตัวเองจะแก้ปัญหาต่างกันยังไงบ้าง
“ต่างกันเยอะมาก เพราะว่าเราเดินทางมาเยอะแล้ว เราค่อนข้างมั่นใจในตัวเองมากขึ้นแล้วเรารู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง ถ้าสมมติเขาไล่ออกจากที่พัก ตอนนั้นเราร้องไห้ แต่ ถ้าเป็นตอนนี้ก็คงจะเรียกตำรวจ เพราะมันคือความผิดของเขา เขาไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น ก็น่าจะลุกขึ้นมาสู้ให้ตัวเองมากขึ้น กว่าการที่จะเป็นผู้หญิงหวานๆ ตลอดเวลาในทุกสถานการณ์ จริงๆ มันใช้ไม่ได้ค่ะ มันต้องหวานสลับกับเข้มแข็งในการเดินทางคนเดียว “
ทริปที่ประทับใจที่สุดในการเดินทาง
“ประทับใจทุกที่ค่ะ ไม่มีที่ไหนที่ไม่ประทับใจ ถ้าที่สุดๆ แล้วเป็นประทับใจปนแปลกใจ แล้วก็คาดไม่ถึง น่าจะเป็น ประเทศไทยนะ เพราะว่าเดินทาง นั่งรถไฟฟรีลงไปจากสถานีรถไฟธนบุรี ไปถึงสุไหงโกลกเลย ใช้เวลาประมาณ 7 – 9 วันได้มั้ง ไม่แน่ใจเหมือนกัน คือไปเรื่อยๆ เราก็ไม่คิดว่ามันจะสนุกขนาดนี้ เราได้เจอคนที่น่ารักมาก จริงๆ ต้องบอกเลยว่า คนไทยเป็นคนที่มีน้ำใจมาก เข้าถึงง่ายมาก และพร้อมที่จะช่วยเหลือเรามากๆ ก็เลยเป็นทริปที่ประทับใจ เพราะเราคาดไม่ถึง “
ทริป ล่องใต้ปู๊นๆ ของ มิ้นท์ I Roam Alone
ทั้งๆ ที่มิ้นท์เดินทางมาเยอะ แต่เรากลับมาเซอร์ไพรส์กับเมืองไทย เราไม่เคยเห็นมันมาก่อน ?
“มิ้นท์ก็เหมือนคนอื่นๆ แหละ ส่วนใหญ่พอจะเดินทางก็เดินทางไปนอกก่อน เดินทางไกลๆ เหมือนเราจะไม่ค่อยเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีหรอก ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเราคุ้นกับมันมาก เรารู้สึกว่ามันคงไม่น่าจะว้าวเราเท่าไหร่ เพราะเราชินอ่ะ แต่พอเราไปแล้วมันแบบ โอ้โห มันว้าวจังเลยวะ เป็นแบบนั้น”
มัน ว้าว ขนาดไหนคะ สำหรับประเทศไทย ที่มิ้นท์อยากให้ทุกคน สัมผัส
“การเดินทางของมิ้นท์ ไม่เน้นสถานที่ท่องเที่ยวเท่าไหร่ จะเน้นประสบการณ์กับคนมากเพราะทริปนี้ ลงใต้ไปเพื่อสัมผัสประสบการณ์กับคน มิ้นท์ตั้งชื่อโปรเจ็คท์นี้ว่า”Kindness of Strangers” คือ มิตรภาพของคนแปลกหน้า แล้วเราก็นั่งรถไฟลงไป แล้วยิ่งเราลงไปใต้มากเท่าไหร่ คนก็จะหน้าเหี้ยมขึ้นเท่านั้น คือ หน้าเขาจะเหี้ยมมากกกก จำได้ว่ามีคุณลุงคนหนึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามเรา โห คุณลุงหน้าเหี้ยมมาก จนเราไม่กล้าชวนเขาคุย เขาดูบูดมาก นั่งไปสักพัก เราก็พยายามจะยิ้มให้ คุณลุงก็เหมือนไม่สนใจเราแต่จริงๆ คุณลุงเขาไม่มีอะไร เขาง่วง แล้วเขาก็พูดภาษาใต้ ชวนเรากินถั่ว “กินๆ กินถั่วไหม” แล้วหลังจากนั้นก็พยายามคุยกับคุณลุง แต่คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง มิ้นท์ก็ฟังภาษาใต้ไม่ค่อยออก คุณลุงก็พยายามคุยกับเรา ทั้งที่ๆ ที่เขาหน้าเหี้ยมมาก
คือเจอจังหวะแบบนี้หลายครั้งมาก อย่าง มิ้นท์ลงไปพัทลุง มิ้นท์จะพูดถึงเรื่องนี้บ่อย คือ มิ้นท์หิวข้าว บ่าย 3 แล้วยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ก็เดินออกไปหาของกิน แล้วเจอร้านขายเสื้อยืดร้านนึง ก็เล็งเสื้อเขาไว้ เดี๋ยวเราซื้อเสื้อเขาแล้วถามเขาหน่อยดีกว่าว่าเราจะไปกินข้าวที่ไหน ก็ถามพี่คนขายเสื้อว่า “พี่คะหนูหิวข้าวพี่มีร้านแนะนำไหมเนี่ยตอนนี้ ตอนบ่ายสาม หนูหิวมาก” เขาก็บอกว่า ” บ่ายสามมันไม่มีอะไรกิน มันไม่ใช่เวลากินน่ะ รอไหม รอตอนเย็น เดี๋ยวพี่พาไป ” ก็บอกเขาว่า ” โห พี่ไม่ไหวแล้ว หนูหิว ที่ไหนก็ได้ ” เขาก็บอก ” มีมอเตอร์ไซค์ไหมล่ะ ” มิ้นท์ “หนูไม่มีมอเตอร์ไซค์แต่หนูเดินได้ หนูเดินเก่ง” พี่เขาก็หยุดคิดไปแป๊บนึง ” อ่ะไปด้วยกัน ปิดร้านเลย” แล้วเขาก็ปิดร้านเสื้อ เดินไปบอกสามีเขาว่า เดี๋ยวพาน้องไปกินข้าว สามีเขาก็งงๆ ว่า รู้จักกันเหรอรู้จักกันได้ไง พี่เขาก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง หยิบหมวกกันน็อค แล้วก็เรียกเรา อ่ะไป ขึ้น ! แล้วก็พาเราไปเลี้ยงข้าว แล้วก็พาเราไปเที่ยวต่อหลังจากนั้น พี่เขาเป็นผู้หญิงชื่อพี่กบ
แล้ววันรุ่งขึ้นก็อย่างนี้อีก มิ้นท์จะไปทะเลน้อย เราก็คิดไว้ ไม่รู้รถออกกี่โมง ไปเช้าๆ เดี๋ยวไปโบกรถเอาก็ได้ จะไปเช้าๆ เอาแสงตอนเช้า เดินออกมาถนนไม่มีไฟถนนเลย มืดมาก มิ้นท์ก็เดินมาถึงร้านข้าวแกง เขาเริ่มขายของตักบาตรแล้ว มิ้นท์ก็ถาม “พี่คะ จะไปทะเลน้อย ป้ายรถต้องขึ้นตรงไหนคะ ” เขาก็บอก ” รถมันน่าจะผ่านแยกข้างหน้า หนูเดินไปยืนรอตรงนั้นนะ” เราก็เดินไปมืดมาก มองไม่เห็นอะไรเลย พอไปยืนรอตรงป้าย ก็คิด รถมาก็ไม่น่าจะเห็นเราเราก็ไม่น่าจะเห็นรถด้วยซ้ำ เราก็ยืน เอาไงดี นี่มันตีห้าเอง มืดมาก ไม่มีไฟถนนใดใดทั้งสิ้น ยืนรอสักพักนึง คุณป้าคนที่เราไปถามทางเขานี่ล่ะ ขี่มอเตอร์ไซค์มา บอกว่า “เนี่ยป้า แวะมาดูเพราะเห็นมันมืดๆ ไปด้วยกันๆ ขึ้นมอเตอร์ไซค์ เดี๋ยวป้าไปส่งที่ท่ารถ “ แล้วก็ขับมอเตอร์ไซค์พาเราไปส่งที่ท่ารถ รอเป็นเพื่อนจนฟ้าสว่าง แล้วคุณป้าถึงจะกลับไปดูลูกชาย รออยู่ 1 ชั่วโมงนะ
มันมีที่ไหนในโลก ที่เขาทำอะไรกันแบบนี้อีกไหม นอกจากที่ประเทศเรา อย่างที่ มิ้นท์เดินทางมา มิ้นท์ก็ไม่เคยเจออะไรขนาดนี้ ก็เลยประทับใจกับทริปนี้มาก เพราะรู้สึกว่ามันตอบโจทย์โปรเจ็คท์ของเรา โดยที่เราไม่ได้คาดคิดว่าเราจะเห็นอะไรแบบนี้ ก่อนออกเดินทางก็ยังคิดอยู่เลยว่า เราตั้งชื่อโปรเจ็คท์ ใหญ่ไปไหม มันจะมีไหม เราก็คิดนะ แล้วพอมาเจอเท่านั้นล่ะ โอ้โห เป็นโปรเจ็คท์ที่ปลื้มปริ่มมาก ถือว่า หัวใจฟูๆ เป็นแบบนั้นเลยค่ะ “
ทุกครั้งที่เดินทาง จะตั้งเป้า และ ตั้งชื่อโปรเจ็คท์ จะตอบโจทย์สอดคล้องกันตลอดไหมคะ
” ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตั้งเป้า เพราะปกติจะไปโดยไม่ค่อยคาดหวังอะไรมาก คือไปเรื่อยๆ แต่ด้วยความที่ช่วงนั้นทำงานอยู่กรุงเทพฯ เยอะมาก เราเจอการค้าเยอะมาก เราเลยรู้สึกว่าคุณค่าของความเป็นมนุษย์มันอยู่ตรงไหน ความเป็นมนุษย์กับมนุษย์มันอยู่ตรงไหน ก็เลยคิดโปรเจ็คท์นี้ขึ้นมาเท่านั้นเอง ก็ถือว่าประสบความสำเร็จนะ สำหรับตัวเองสำหรับคนอื่นมองยังไง ไม่รู้แต่สำหรับตัวเองถือว่าประสบความสำเร็จมาก”
เป็นลูกสาวคนเดียว แบบนี้คุณแม่ห่วงไหม ที่ออกเดินทางคนเดียว
” คุณแม่ห่วงอยู่แล้วเนอะ จะลูกกี่คนจริงๆ ก็เหอะ คุณแม่ก็ห่วง แม่สวดมนต์ให้ทุกคืนเวลาเราเดินทางก็จะบอกว่า ให้เราเจอแต่คนดีๆ เพราะเรื่องสถานการณ์น่ะ ช่างมัน จะดีบ้าง ไม่ดีบ้างไม่เป็นไร แต่ขอให้เราเจอคนดีๆ แล้วมันจะโอเค แม่ก็จะคอยบอกว่า ตื่นมาก็ให้คิดดีๆ ทำดีๆ นะแล้วจะได้เจอคนดีๆ มิ้นท์ก็โอเคๆ
แต่เวลามิ้นท์เดินทาง มิ้นท์จะไม่รู้สึกว่าแม่ดึงเราไว้เลยนะเหมือนแม่จะผลักให้เราไปด้วยซ้ำ สนับสนุนเราในทุกๆ ด้านให้เราได้เดินทาง แม่เขาบอกว่า จริงๆ ห่วงก็ห่วงได้ แต่ถ้าห่วงโดยการเก็บแกไว้กับฉัน มันก็เหมือนความเห็นแก่ตัวของแม่แต่ลูกไม่มีความสุขไง คือลูกอยู่กับฉัน ฉันไม่ห่วง แต่ลูกไม่มีความสุข ก็แสดงว่าไม่ได้สนใจความสุขของลูก แต่สนใจความสุขของตัวเอง แม่ก็เลยปล่อยให้ไป เพราะว่าแม่ก็บอกว่า ฉันก็เป็นห่วงแกล่ะ แต่ความสุขของแกมันน่าจะสำคัญกว่า และแกก็น่าจะได้ออกไปใช้ชีวิต ก็เลยเป็นแบบนั้น “
ทุกครั้งที่เดินทาง มิ้นท์มีวิธีการทำยังไงให้แม่ห่วงน้อยลงบ้าง
” จะติดต่อแม่มาตลอดค่ะ ก็จะคอยส่งข่าว ย้ายเมืองส่งข่าว ย้ายเมืองก็ส่งข่าว และก็โทรหาแม่ตลอด พอมีอินเตอร์เน็ตปุ๊บก็จะโทรหาแม่ มีบางครั้งบ้างที่สนุกเกินจนลืม ลืมติดต่อที่บ้านไป 2 สัปดาห์ พ่อก็จะส่งไลน์มา เพราะตอนแรกๆ แม่เล่นไลน์ไม่เป็น พ่อส่งไลน์มาว่า “แม่แกถามว่าตายรึยัง” คือที่บ้านไม่มีความหวาน ไม่มีการบอกคิดถึง เป็นคนไม่หวานกันเลยจริงๆ แม่จะถามว่าตายรึยัง ไม่เห็นกดเงิน ไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวใดใด ยังมีชีวิตอยู่ไหม (หัวเราะ) บางครั้งมิ้นท์ก็จะตอบด้วยการไปกดเงิน เพราะเวลาพอกดเงินปุ๊บแม่จะรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ เวลาเราเดินทาง แม่จะเป็นคนดูแลบัญชี เพราะเขากลัวเรื่องโดนขโมย บางครั้งมิ้นท์จะใช้การตอบแบบนี้ ด้วยความกวน…แม่ (หัวเราะ) “
คุณแม่สอนเรื่อง คิดดีๆ ทำดีนะ แล้วจะเจอคนดีๆ มิ้นท์เชื่อเรื่องแรงคิดบวกแบบนี้ขนาดไหนคะ
“มิ้นท์ไม่ได้มองว่ามันเป็นคิดบวกอะไรแบบนี้นะ มิ้นท์มองว่า ก็ถ้าเราคิดดีๆ ทำตัวดีๆ แสดงออร่าที่ดีออกมา มันก็น่าจะดึงดูดคนพวกเดียวกันนะ เราคิดแบบนี้จริงๆ แล้วมันก็เป็นแบบนี้มาตลอด คือเวลาเราเจอใครแล้วเรายิ้มให้เขาเหมือนเราส่งมิตรภาพให้เขานะ มันน้อยคนมากที่จะ อุ๊ย อีนี่ยิ้มให้ฉันทำไม มันแทบจะไม่มีคนแบบนี้เลย ถ้ามีก็น้อยมาก คือถ้าเป็นแบบนั้นก็เหมือนเราคัดเขาทิ้งนะ ก็ดีแล้วก็เหมือนคัดเขาออก
ปกติเดินทางเราก็จะพกยิ้มไป ยิ้ม ยิ้ม คิดซะว่ามาสนุก ก็จะไม่ค่อยโมโหกับอะไร ไม่ค่อยทะเลาะกับใคร มีอะไรหยวนได้ก็หยวน คุยได้ก็คุย เดี๋ยวนี้นะ จะเป็นแบบนี้
เรารู้ว่าทุกอย่างมีทางออก และเราไม่จำเป็นต้องไปร้ายกับเขา ไม่ต้องไปวีน การวีนไม่ใช่การแก้ปัญหาเลย ยิ้มเข้าไป คุย ปรึกษากัน มันน่าจะดีกว่า ก็จะทำแบบนี้ตลอด เพราะฉะนั้น คนที่เขารับสารจากเราแบบนี้ เขาก็จะไม่ร้ายกลับมาหรอก มิ้นท์เชื่อเรื่องนี้จริงๆ และผลมันก็เป็นอย่างนี้จริงๆ ทุกครั้งค่ะ พอวีนไปปุ๊บ เดี๋ยวก็จะโดนวีนกลับ เละ ! เละกันทั้งคู่ ไม่มีใครได้อะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าเราดีๆ กัน มันก็จะดีกันหมด “
ในฐานะที่เป็นผู้หญิงสวยและเดินทางคนเดียว เคยเจอเหตุการณ์คุกคามทางเพศไหม
” เคยค่ะ ที่หนักๆ น่าจะเป็นที่เนปาล เขาเป็นเจ้าของบริษัทเดินป่า ที่เราไปด้วยกัน ตอนนั้นเราต้องแยกจากกลุ่มเพราะว่าเราบาดเจ็บ และพอเขาเห็นเราแยกออกมา เขาก็เอาล่ะ ด้วยความที่เราเป็นคนที่คุยได้กับทุกคน ยิ้มได้กับทุกคน เขาก็คงเลยคิดว่าเราดูหวานๆ มั้ง เขาก็จะมาจับขาบ้าง จะมาขอนอนด้วยบ้าง อะไรบ้าง เราก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลเพราะว่าเรายังต้องใช้ประโยชน์จากเขาในการกลับเข้ากาฐมาณฑุ เรายังไม่สามารถด่าเขา หรือเฉดหัวเขาไปได้เพราะไม่อย่างนั้นเราจะกลับบ้านไม่ได้ ตอนนั้นก็จะเป็น อย่าเลย เดินลุกหนีบ้าง พยายามไปรวมกลุ่มกับคนอื่นบ้าง เป็นการปฏิเสธแบบนุ่มนวล ซึ่งตอนนั้นก็ทำให้เครียดเหมือนกัน แต่ก็ผ่านไปได้ ก็เป็นบทเรียน
แต่ก็จะมีอีกแบบหนึ่ง อย่างเช่น ตอนนั้นไปเปรู ก็จะเป็นแบบนี้เหมือนกัน เจ้าของที่พัก พยายามจะจับคางเราบ้าง แบบโน่นนี่ อันนี้ขึ้นเสียงเลย อันนี้ไม่ยอมเพราะเราไม่ต้องขึ้นกับเขาไง เราก็ตัวใหญ่ ต้องขอบคุณที่เป็นคนตัวสูงมาก เราก็ยืนขึ้นมาด่าเขาเลย ว่า ” ทำแบบนี้ไม่ถูกนะ ฉันจะไปเขียนรีวิวด่าเธอ บน Trip Advisor นะ เธอคอยดูเลย เขาก็ต้องขอโทษขอโพยอะไรไป
คือจริงๆ มันต้องเลือกเวลา นะ คืออย่างที่บอกการเดินทาง มันคือส่วนผสมของทั้งสองอย่าง ต้องทั้งอ่อนหวาน และก็ต้องโหดๆ ด้วย คือมันต้องไปด้วยกัน เราก็ต้องเลือกใช้ ว่าจังหวะไหนจะเลือกใช้อะไร ซึ่งอันนี้มันก็น่าจะมาจากประสบการณ์มากกว่า โดนเยอะๆ แล้วก็จะรู้เองว่าจะต้องทำอะไร “
ทริปเนปาลเมื่อปีที่ผ่านมา ไปตอนที่เกิดแผ่นดินไหวพอดีตอนอยู่บนเขา รับมือกับสถานการณ์ตอนนั้นยังไงบ้างคะ
“ตอนนั้นก็มีความเครียดสูง เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเราจะได้ขึ้นเขาไหม เราจะกลับลงไปยังไง แล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็เดินต่อ ก็ทำอะไรไม่ได้ก็คือทำอะไรไม่ได้จริงๆ (หัวเราะ) ก็ยังกินได้นอนหลับเหมือนเดิม เดินต่อไปก็ขาเจ็บ ขาเจ็บก็ยังต้องเดินต่อไปแล้วก็ยังต้องเดินกลับลงมา นั่งช็อปเปอร์กลับลงมา ก็ไม่มีอะไร ทุกอย่างมันก็ไปตามแบบนี้ ก็เราไปควบคุมอะไรมันไม่ได้ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ใช้ชีวิตกับมันไปแบบนี้ค่ะ “
กับอารมณ์ตอนนั้นล่ะคะ
” ตอนนั้นมีความเครียดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดว่าเป็นบ้า สติแตก หรือรู้สึกว่าโลกมันจะแตก ก็เปล่า ก็เป็นความเครียดซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วเรื่องเกี่ยวกับความไม่แน่นอนก็เท่านั้นเองก็ไม่ได้มีอะไรแปลก “
คิดว่าตัวเองรับมือ กับความไม่แน่นอนในการเดินทางได้มากน้อยแค่ไหน
“ได้มาก ชอบซะด้วย มิ้นท์ชอบความไม่แน่นอน เพราะความแน่นอนมันน่าเบื่อ (หัวเราะ) มันไม่เซอร์ไพรส์เลย มันไม่มีความรู้สึกว่า โอ้โห “
แสดงว่าทุกครั้งที่ออกทริป ไม่ได้มีการแพลนมาก่อน
” ไม่มีการแพลนแบบ 100% จะแพลนประมาณ 20% คือจะมองคร่าวๆ ว่าเราจะไปที่ไหนบ้าง แต่ไม่ลงรายละเอียดลึกมาก รีวงรีวิวอย่างนี้ก็จะไม่ค่อยอ่านมาก เพราะมันจะเป็นเหมือนกรอบที่ไปครอบความเป็นตัวเราไว้ เราก็จะไม่ค่อยอ่านมาก เรากะว่าไปเจอมันเลยดีกว่า “
เวลาที่ตัวเราได้ออกเดินทาง แล้วจิตใจได้ออกเดินทางบ้างไหม
” เดินทางมากกว่าตัวอีกมั้งค่ะ ตัวไปนิดเดียวเอง นั่งรถเหมือนไม่ได้ทำอะไร แต่ใจเราไปไหนแล้ว เวลาเดินทางเหมือนใจมันโต มันโตขึ้น ในขณะที่มันก็นิ่งขึ้นด้วย ไม่รู้ว่าจะงงไหมคะ เหมือนเราเข้าใจหัวใจตัวเองมากขึ้น เหมือนใจมันเดินทางขึ้น เป็นแนวไต่ขึ้น และนิ่งขึ้น ไม่ใช่กราฟขึ้นๆ ลงๆ ในแนวนอน ก็เป็นการเดินทางแบบนั้น “
ทริปที่กับคุณแม่ มื้นท์ได้อะไรมาบ้าง
” ทริปจอร์แดน จริงๆ แล้วทริปนี้ไปเพื่อคุณแม่เลยล่ะ ซึ่งแรกๆ อึดอัด เพราะว่าเราชินกับการเดินทางคนเดียว เราไม่ชินกับการที่เราต้องไม่ขึ้นภูเขาลูกนี้ เพราะอีกคนหนึ่งเดินไม่ไหว ถ้าติดตามการเดินทางของมิ้นท์จะเห็นว่ามิ้นท์ขึ้นเขา ทำบ้าทำบอแล้วก็ไม่ค่อยวางแผน ไม่ซื้อทัวร์ แต่ด้วยความที่เรารู้ว่าคุณแม่เป็นคนมีระเบียบ เขาจะเข้านอนโดยไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ไม่ทำอะไร เขาทนไม่ได้ เราก็เลยเอาว่ะ ทริปนี้เราก็คิดว่า เป็นทริปของแม่ ไม่ใช่ทริปของเรา
แรกๆ ก็อึดอัดอย่างที่บอก แต่หลังๆ ก็เริ่มเข้าใจ จริงๆ บทเรียนสำคัญครั้งนี้ที่ได้มาคือ รู้ว่าจริงๆ คือ แม่เราแก่แล้ว (หัวเราะ) พูดไปแล้วแม่จะโกรธไหมเนี่ย (หัวเราะ) คือก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเข้าใจ มิ้นท์เขียนลงไปในเพจด้วยนะ เพราะรู้สึกว่าหลายๆ คนน่าจะเป็นเหมือนกัน มันจะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ตอนที่ จากแม่เป็นผู้ที่แข็งแรงที่สุด สำหรับเรา แม่คือตัวใหญ่ แม่เป็นคนเดินจูงมือเรา แม่รู้ทุกอย่าง เราเป็นคนถาม แม่เป็นคนตอบ มันเปลี่ยนกันแล้ว มันถึงจุดเปลี่ยน เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก
คือจังหวะที่เดินเข้าเพตราไป มิ้นท์เป็นคนเดินเร็ว เราก็เดินๆๆ เข้าไป แล้วหันไป อ้าว แม่หายไปไหนแล้ว เพิ่งนึกขึ้นมาได้ อ้าว แม่ยังเดินอยู่ข้างหลังเราก็คิดนะ ทำไมเดินช้าอ่ะ ก็เลยเดินกลับไป เรียก “ม๊า คล้องแขน” แล้วก็เดินลากแม่ไปด้วย ก็คือช้าลง แต่ก็ลากแม่ไปด้วยไง
มันเป็นความรู้สึกที่ เอ๊ย เดี๋ยวนี้แม่เราไม่เหมือนเดิมแล้วแม่เราช้าลงแล้ว แม่เราไม่รู้ แม่เรางงกับการใช้มือถือมาก ให้แม่ถ่ายรูปให้ เราก็อุตส่าห์กดให้มันขึ้นหน้าจอกล้องใหญ่ แม่เรามองไม่เห็น เพราะแม่สายตายาว มันเหมือนได้เห็นอะไรแบบนี้ที่มิ้นท์ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะก่อนหน้านั้นมิ้นท์ไม่ได้อยู่บ้านนานๆ 7 ปีอ่ะค่ะ ซึ่งก็นานมาก
พอมาเห็นแบบนี้แล้ว โห แรกๆ หงุดหงิดนะ ไม่เข้าใจอ่ะ มันคือความไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่พอเรานึกขึ้นมาได้นะ ว่า โอ๊ย สมัยก่อนตอนเราเด็กๆ เขาก็คงไม่หงุดหงิดกับการสอนเราเนอะ เขาก็สอนเราด้วยความรัก แล้วเราไปหงุดหงิดใส่แม่ได้ไงวะ มันก็เลยคิดตรงนี้ขึ้นมาได้ค่ะ ก็เลยเข้าใจว่า จริงๆ เดี๋ยวนี้เป็นเราแล้วที่ต้องดูแลแม่ ไม่ใช่แม่ที่จะมาดูแลเราแล้ว คือแม่ก็ยังเป็น Super Mom เหมือนเดิมแหละ เป็นที่พึ่งทางจิตใจ แต่ทางด้านอื่นคือเป็นเราแล้วนี่ล่ะที่ต้องมาดูแลแม่ เป็นทริปที่ทำให้รู้ว่า เออ มันตาฉันแล้วว่ะ เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก “
นับได้ว่าเป็นทริปที่มิ้นท์ได้โตขึ้นอีกสเต็ป?
“คิดว่าโตในเรื่องของครอบครัวมากกว่า ปกติจะคิดว่าแม่แข็งแรง ม๊าทำนั่นให้หน่อย ม๊าทำนี่ให้หน่อย ม๊าจัดการให้ทุกอย่าง ตอนนี้ก็แบบเริ่มเพลาๆ ลง เออ ง่ายๆ หน่อยๆ เป็นแบบนั้น”
การเดินทางให้อะไรกับมิ้นท์บ้างคะ?
” การเดินทางให้อะไร (มิ้นท์ทวนคำถามก่อนตอบ) ทำให้เราไม่ทุกข์ ทำให้ความทุกข์หายไปจากชีวิต (หัวเราะ) “
ทั้งๆ ที่ เราต้องออกไปเจออะไรเยอะแยะที่เราคาดเดาไม่ได้เนี่ยนะ?
” ใช่ มันเหมือนพอเราได้เดินทางเยอะๆ เราได้เห็นคนที่เขาทุกข์กว่า คนที่เขาสุขกว่าทั้งๆ ที่เขามีน้อยกว่า เราได้เห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เราได้อยู่กับตัวเองเยอะ เหมือนเราเข้าใจตัวเองมากขึ้น แล้วเราก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง เรียนรู้ที่จะอยู่กับความเหงา เดี๋ยวนี้ก็เลยไม่มีความทุกข์อีกแล้ว เป็นความสุขที่รู้ว่าเราโชคดี เป็นคนที่โชคดี๊ โชคดี เพิ่งเข้าใจ
เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าตัวเองเป็นคนโชคร้าย ทำไมไม่มีใครเข้าใจฉันเลย ทำไมฉันถึงไม่ได้รถใหม่เหมือนคนอื่น ทำไมฉันถึงไม่มีอันโน้น ทำไมไม่มีอันนี้ ทำไมคอมพิวเตอร์ถึงเปิดไม่ติดทำไมถึงต้องทะเลาะกับเพื่อน สมัยก่อนจะมีแต่คำถามแบบนี้ ตอนนี้ก็เลยแบบพอมีอะไรไม่ฟังก์ชั่น ก็ไม่เป็นไร จริงๆ เราโชคดีแล้ว “
ถ้าคนทั่วไปอยากจะรู้สึกโชคดีแบบมิ้นท์บ้าง ต้องทำยังไงคะ
” มิ้นท์ว่าอันนี้ก็ตอบยาก แต่ละคนน่าจะมีปมในชีวิตต่างกันไป ถ้าพูดกันตรงๆ อย่างปัญหาของมิ้นท์คือ การที่มิ้นท์เคยเป็นศูนย์กลางของโลก แล้วมิ้นท์ก็ยังไม่พอ อันนั้นคือปัญหาของมิ้นท์ พอเราได้เดินทางแล้ว เราก็เลยเห็นว่าเราไม่ใช่ศูนย์กลางของโลกอีกแล้ว และเราก็ไม่ใช่คนที่มีปัญหาด้วย เพราะเราเห็นคนที่มีปัญหามากกว่าเราเยอะมาก และเขาก็ยังมีความสุขได้ แล้วเราจะมาอะไรวะ เพราะฉะนั้นสำหรับคนอื่นมิ้นท์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่จะมาทำให้เขารู้สึกว่าเขาโชคดี อย่างของมิ้นท์ตอนเช้า เวลาเปิดน้ำก๊อกขึ้นมามีน้ำไหล เปิดไฟมีไฟ มิ้นท์ก็ว่า มิ้นท์โชคดีแล้วนะ “
เคล็ดลับการเดินทางสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวให้ปลอดภัยจาก มิ้นท์ I Roam Alone
” สำหรับผู้หญิงเดินทางคนเดียวทริปแรกๆ อย่าเพิ่งพริ้วมาก ให้หาข้อมูลเยอะๆ เรื่องการผจญภัยมันมีอยู่แล้ว มันไม่มีอะไรไปตามแผนเราหรอกเชื่อเถอะ ถึงเราจะวางแผนดีแค่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้นก็วางแผนให้รอบคอบไปก่อน
1. เรื่องที่พักนี่สำคัญมาก ให้หาที่พักที่ดี ดีในที่นี้ไม่ใช่แพง คือนอนโฮสเทล นอนห้องรวมอะไรก็ได้ แต่ว่าต้องตั้งอยู่ในสถานที่ที่ดี
2. อ่านรีวิวเยอะๆ เกี่ยวกับที่พักนั้นๆ ว่า RECEPTION เขาดี เขาช่วยเหลืออะไรแบบนี้ อันนี้ถือว่าสำคัญมาก
3. ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่า เดินเล่นมือถือ เดินเล่นถ่ายรูป เดินฟังเพลง โดยที่เราไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคืออะไร อันนี้ก็จะอันตรายแล้ว เพราะเราอาจจะเดินเลี้ยวผิดถนนไปในโซนที่ไม่ปลอดภัย หรือเราอาจจะโดนคว้ามือถือไปจากมือเราก็ได้ ซึ่งอันนี้จะเกิดขึ้นได้บ่อยมาก แม้แต่ในประเทศแถบยุโรปเองก็ตาม
นอกจากนั้นคือ ห้ามเมา!!! ก็จะเตือนผู้หญิงตลอด เวลาน้องๆ เข้ามาถาม ว่าจะไปเที่ยวคนเดียวยังไง เราก็จะเตือนว่าที่สำคัญ ห้ามเมาเด็ดขาด!!! เพราะเราเมาปุ๊บ เราไม่มีสติ นอกจากเราไม่มีสติ คนรอบข้างก็ไม่มีสติ แล้วคนที่ไม่สติมาเจอกัน มันไม่มีทางที่จะเกิดผลดีขึ้นมาได้แน่นอน เพราะฉะนั้นก็จะบอกเขาว่า อย่าไปใน”ที่อโคจร” เลย ใน “เวลาอโคจร” ก็อย่าไป พอมันเย็นปุ๊บก็กลับที่พัก ก็ไม่ต้องไปเสียดาย กลัวเสียดายวิว อยากจะเดินดูตอนกลางคืน เดินคนเดียวแล้วมันเกิดอันตรายขึ้นมาจะทำยังไง
มิ้นท์ก็จะพยายามแนะนำว่า เดินตอนเช้ามากแล้วกัน กับกลางวันแทน ตอนเย็นๆ ก็ไม่ต้องไป น่าจะเป็นเรื่องหลักสำคัญของผู้หญิง
ส่วนอุปกรณ์ป้องกันตัวเนี่ย มีด เมิด สเปรย์พริกไทยไม่ต้องเอาไป เพราะในจังหวะที่มันชุลมุนเราอาจจะฉีดสเปรย์พริกไทยใส่ตาเราก็ได้ แล้วนอกจากนั้น รู้ทิศทางลมเหรอ ตอนที่เรากระชากมันออกมา แล้วถ้าเราฉีดไปแล้วลมมันพัดมาทางเราล่ะ เราก็ซวยนะ
อุปกรณ์ที่มิ้นท์พกคือ มิ้นท์เรียกเองว่า “เครื่องกรี๊ด” Search เข้าไปได้ว่า “Personal Alarm” มันจะเป็นเครื่องอันเล็กๆ ที่มีจุกอันนึงเล็กๆ พอเราดึงปุ๊บมันจะร้องเสียงดังมากกกกกกกกกก เพราะฉะนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้น เราก็แค่ดึงแล้วขว้างตัวนี้ทิ้งไป โจรมันก็คงต้องตกใจนะ เพราะเสียงมันจะดังมาก และก็จะไม่หยุดจนกว่าแบตจะหมด หรือเอาจุกมาเสียบกลับ มิ้นท์ก็จะพกอันนี้ติดตัว”
เราคุยกับเธอจบคำถามการสัมภาษณ์ แต่การพูดคุย เรื่องโน่นนี่นั่น กลับไม่จบ ไม่สิ้น ยิ่งคุยกับเธอก็ยิ่งสนุก หญิงสาวนักเดินทางคนนี้เธอมีมิตรภาพ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และ เรื่องราวประสบการณ์ชีวิตหยิบยื่น แลกเปลี่ยนมาให้เราอยากคุยกับเธอไม่เบื่อไม่หน่าย และเราก็รู้ว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เธอพร้อมจะเล่าให้ทุกๆ คนได้ฟัง ได้อ่าน ได้ติดตามในการเดินทางครั้งต่อๆ ไปของเธอดังเช่นที่เธอเคยทำเสมอมา ตราบเท่าที่ 2 เท้าของเธอยังเดินทาง
สัมภาษณ์เรียบเรียงโดย Women MThai Team
Video โดย MThai Team
ภาพประกอบจาก I Roam Alone
ขอขอบคุณ หอจดหมายเหตุพุทธาส อินทปัญโญ ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายทำ