ปัญหาส่วนใหญ่ของสาวออฟฟิศที่เจอคือ เมื่อทำงานไปนานๆ น้ำหนักก็ขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย บวกกับกินน้ำหวาน กาแฟ ในทุกวัน แต่เชื่อเถอะถ้าใจเรามุ่งมั่นจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ข้ออ้างต่างๆ จะหมดไปในทันที เหมือนกับคุณอ้อม สาวออฟฟิศในวัยเลขสาม ที่เจอปัญหาสุขภาพจนต้องทิ้งข้ออ้างทุกอย่าง แล้วหันมาลดน้ำหนักอย่างจริงจัง โดยที่กินอิ่มครบ 3 มื้อ เธอทำได้ยังไง เรามาอ่านบทสัมภาษณ์ของเธอกันค่ะ
การกินคือเรื่องใหญ่ของที่บ้าน
ลูกหลานต้องอิ่ม ต้องอร่อย เป็นเด็กที่เติบโตมาโดยกินน้ำอัดลมใส่ขวดนม มาตั้งแต่จำความได้ ขนมซองไม่เคยขาด ที่บ้านซื้อแบบยกแพ็คมาให้ตลอด ติดน้ำอัดลม อาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูปและขนมซองตั้งแต่เด็กๆ กินข้าววันละ 4 – 5 มื้อ ทุกมื้อข้าวปลาอาหารบนโต๊ะห้ามเหลือทิ้งต้องเก็บกินให้หมดทุกมื้อ เหลือทิ้งคือบาปหนา ผู้ใหญ่เรียกกินข้าวก็ต้องกิน ไม่หิวก็ต้องกิน ไม่งั้นถูกตี ไม่เคยรู้จักคำว่า หิวเลย เพราะกินเกินอิ่มตลอดเวลา
นอกจากเคยชินกับพฤติกรรมการกินตามใจปากแล้ว สภาวะแวดล้อมก็ส่งเสริมให้เป็นเด็กอ้วนจ่ำม้ำ เพราะน่ารัก น่าฟัด ดูเป็นเด็กสมบูรณ์ตามวัฒนธรรมครอบครัวคนจีน ทำให้เราเคยชินกับการกิน อยากกินอะไรก็ต้องได้กิน อยากกินเมื่อไหร่ก็ต้องได้กินเดี๋ยวนั้น ไม่รู้จักคำนวณโภชนาการอาหาร ไม่เคยวางแผนการกินของตัวเอง เวลาเครียดก็จะแก้ปัญหาด้วยการกินเพราะนี่คือความสุขที่เราเคยชิน ทำให้เอว 30 นิ้วมาตลอดตั้งแต่วัยรุ่น
หมอบอกว่า “อยากลดยา ต้องลดน้ำหนัก”
จุดเริ่มต้นที่ลดน้ำหนักมากจากปัญหาสุขภาพ ซึ่งเราไม่รู้ เรานึกว่าใครๆ ก็เป็นกัน คือประจำเดือนมาเยอะ แล้วมาครั้งละ 10 – 15 วัน ในปริมาณที่เยอะมากทุกวันและทั้งวัน จนกระทั่งวัยเลข 3 เริ่มมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ เพิ่มเติม จนต้องไปหาหมอสูติฯ เลยรู้ว่าฮอร์โมนผิดปกติ คุณหมอให้ยาฮอร์โมนมากิน แล้วมีผลข้างเคียงเยอะ ทั้งคลื่นไส้ อาเจียน และดราม่า อ่อนไหวง่าย เปลี่ยนยาก็แล้ว เปลี่ยนวิธีกินก็แล้วก็ยังมีอาการอยู่ คุณหมอเลยแนะนำให้ลดน้ำหนัก จะได้ลดปริมาณยา และอาจจะงดยาไปเลยก็ได้ ความหวังเริ่มมา
คุณหมอตั้งเป้าให้น้ำหนักลดลงทุกๆ 3 เดือน เป็นเหมือนกับดักล่อ เราจะได้เป้าน้ำหนักใหม่ที่คุณหมอสั่งมาให้ทุกๆ 3 เดือน ความอยากเอาชนะด้วย อยากลดยาด้วย ก็เริ่มคุมอาหารตัวเอง และอธิบายให้ที่บ้านเข้าใจ ขอความร่วมมือจากที่บ้าน
เราก็ปักหมุดตัวเองให้ลงเดือนละ 1 กิโลกรัม
ในช่วงแรกเราไม่มีเวลาออกกำลังกาย เลยเลือกคุมอาหารอย่างเดียว เปลี่ยนพฤติกรรมการกินทั้งหมด ลดน้ำตาล งดโซเดียม งดขนมซอง งดอาหารแปรรูป งดน้ำอัดลมไปเลย แรกๆ ลดด้วยการกินปกติ ทั้ง 2 มื้อ แต่หักดิบมื้อเย็นไม่กินเลย กินน้ำเปล่ากลั้วท้อง ผลคือหิวโซ ท้องไส้ปั่นป่วน นอนไม่ได้ 1 สัปดาห์ น้ำหนักลดนะ แต่ไม่ดีต่อสุขภาพ เลยค่อยๆ ปรับมากินสลัด กินผักสด ในมื้อเย็นแทน แต่ก็ยังโหยอยู่ดี
วิธีแก้ปัญหาน้ำหนักเริ่มนิ่ง
พอน้ำหนักเริ่มคงที่ ไม่ลงแล้ว เลยต้องปรับแผนการกินใหม่ มื้อเย็นเน้นโปรตีนไป อกไก่ต้มบ้าง น้ำเต้าหู้หวานน้อยบ้าง นมจืดบ้าง กล้วยหอมบ้าง อัลมอนด์อบไม่ปรุงรสบ้าง โยเกิร์ตรสธรรมชาติบ้าง
เราจะชั่งน้ำหนักทุกเช้า ถ้าน้ำหนักเริ่มนิ่ง หรือเริ่มขึ้น เราจะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและวางแผนการกินแบบวันต่อวัน ให้ร่างกายหลอกตัวเองไป การกินอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ ร่างกายจะเริ่มรู้ว่าเราอยู่ภาวะอด ร่างกายก็จะอยู่ในโหมดประหยัดพลังงานตัวเองไปด้วยแบบอัตโนมัติ เลยจะปรับเมนูการกินแปลกไปบ้าง
ถึงจะไม่ได้ออกกำลังกายจริงจัง แต่จะใช้พลังงานด้วยการออกไปเดินเล่น เดินเร็ว เดินขึ้น – ลงบันไดรถไฟฟ้าแทนการใช้บันไดเลื่อน เดินงานแฟร์ งานอิเว้นท์ เดินห้างให้เพลินๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมสนุกๆ ตามไลฟ์สไตล์ที่ตัวเองชอบอยู่แล้ว
ส่วนตัวก็จะมี cheatmeal ในทุกๆ วัน ไม่มื้อเช้าก็มื้อกลางวัน เป็นขนมเค้กบ้าง ไอศครีมบ้าง คือจะมีขนม 1 ชิ้น ทุกวัน เป็นกำลังใจให้ตัวเอง Cheatday ก็มีปกติ อย่างไปปาร์ตี้ดื่มแอลกอฮอล์ 4 – 5 เดือนครั้ง หรืออย่างเวลาเดินทาง ก็จะกินครบ 3 มื้อปกติ แต่แค่มื้อเย็นเราก็จะเลือกกินโปรตีน กินผักเยอะหน่อยเท่านั้น เอาเท่าที่ไม่ลำบากเพื่อนฝูงและไม่ลำบากใจมานั่งรู้สึกผิดกับตัวเองทีหลัง
เทคนิคการคุมอาหาร
จริงๆ คือไม่ได้คุมอะไรมาก เพราะเป็นคนชอบกิน ชอบลองอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ชอบของอร่อย กินคลีนได้ กินจืดได้ คลีนได้แต่ไม่คลีนมาก หัวใจหลักๆ แค่วางแผนการกินก่อนล่วงหน้าในแต่ละวัน
เช้ามาในหัวสมองจะวางเมนู 3 มื้อของตัวเองไว้เลย ใช้วิธีเลือกกิน อ่านฉลากทุกอย่างที่กิน คำนวณแคลอรี่แบบคร่าวๆ ว่าวันนี้กินอะไรไปบ้างให้มันไม่เกิน 1,200 กิโลแคลอรี่ต่อวัน
ซึ่งจริงๆ ก็อาจจะเกินก็ได้นะ ไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น และจะไม่กินหลัง 18.00 น. มื้อเช้ากับมื้อเที่ยงจะกินหนักหน่อย ข้าวราดกะเพราไก่ไข่ดาว,ข้าวแกงกะหรี่, ข้าวไข่เจียว,ข้าวมันไก่ ก็ยังกินปกติ อาหารฟาสต์ฟู้ดก็นานๆ ที 3 เดือน/ครั้ง แต่มื้อเย็นจะพยายามเลือกกินให้ไม่เกิน 190 กิโลแคลอรี่ ใช้เทคนิคมื้อเช้ากินอย่างราชา มื้อกลางวันกินอย่างเศรษฐี มื้อเย็นกินอย่างยาจก แต่หลักๆ คือจะไม่กินน้ำตาล ไม่กินน้ำหวาน
หุ่นเปลี่ยน ชีวิตแฮปปี้
น้ำหนักก็ลดมาเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องเดือนละ 1 กก. 13 เดือนลดไป 13 กก. จาก 65 กก. ก็เหลือ 52 กก. พอปรับพฤติกรรมการกินจากวันนั้นถึงวันนี้ น้ำหนักก็คงที่อยู่ที่ 52 – 54 กิโลกรัม มาตลอดระยะเวลา 3 ปีแล้ว
แต่ถึงแม้น้ำหนักจะลด แต่รูปร่างยังไม่เฟิร์ม ตอนนี้อยากให้หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขากระชับขึ้น ก็เริ่มออกกำลังกายไป cardio โยคะบ้าง โดยเข้าไปตามเพจ ตามไอจีสาวๆ ที่ออกกำลังกาย อย่าง เพจปั้นหุ่นแซ่บอายุ 30 + , sarafittogo และ koyworkitout มันทำให้เรามีแรงฮึดอยากออกกำลังกายตามบ้าง
สุดท้ายอยากฝากบอกคนที่อยากลดน้ำหนักว่า เราแค่ต้องตั้งเป้าหมายเอาระยะใกล้ๆ ที่พอไปถึงได้ก่อน พอทำได้แล้วเราจะมีกำลังใจ แล้วค่อยๆ เลื่อนขั้นไปเป็นการท้าทายตัวเอง ระหว่างการลดน้ำหนัก ก็แค่ไปทำให้มันยังสนุก ยังมีความสุขอยู่ ไม่ต้องถึงกับอด แต่เราแค่ต้องรู้ตัวในทุกๆ คำว่า เรากินเอาอิ่ม หรือ เรากินเอาอร่อย อร่อยได้ มีแคลอรี่ได้ แต่เราแค่ต้องรู้จักยั้งตัวเองว่าเท่าไหร่พอนะคะซิส
สัมภาษณ์และเรียบเรียงโดย : Women MThai Team
บทความนี้ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้บนเว็บไซต์ MThai เท่านั้น