วิธีดูแลผิวเป็นสิว จากแสงแดดในฤดูร้อน ที่มีรังสียูวีสูงมาก โดยเราจะรู้สึกได้ว่า แม้จะออกไปสัมผัสกับแสงแดดเพียงไม่กี่นาที ก็อาจมีอาการ ผิวแสบร้อน และ เหงื่อออก โดยเฉพาะกับผู้ที่มี “ปัญหาสิว” แสงแดดจะกระตุ้นให้ผิวเกิดรอยแดง ผิวอักเสบ และจุดด่างดำได้ง่ายกว่า
ในช่วงฤดูร้อนแบบนี้ ควรจะต้องดูแลผิวให้ดีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผิวบริเวณใบหน้า เนื่องจากเป็นบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดดโดยตรง ส่วนผู้ที่มีปัญหาสิวที่อยู่ในช่วงใช้ยารักษาสิวจะต้องระวังเรื่องการออกไปเผชิญกับแสงแดด และควรรู้วิธีการป้องกันดูแลผิวเป็นสิว หลังจากเผชิญกับแสงแดดอย่างถูกวิธี
ทำไมผู้ที่เป็นสิว จึงควรหลีกเลี่ยงแดด?
สำหรับผู้ที่รักษาสิว โดยการใช้ยากลุ่มอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ และยาทาสิวที่มีฤทธิ์ในการลอกผิวอยู่นั้น ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจ้า เนื่องจากยากลุ่มนี้จะทำให้ผิวบางและไวต่อแสงได้ง่าย เมื่อเผชิญกับแสงแดดก็จะทำให้รู้สึกแสบร้อนบนใบหน้า เกิดรอยแดง และจุดด่างดำได้ง่าย ทั้งยังก่อให้เกิดการระคายเคือง หน้าแห้ง ที่สำคัญคือจะยิ่งซ้ำเติมผิวที่เสียอยู่แล้วให้มีสภาพแย่ลงไป เมื่อผิวไม่แข็งแรงก็จะทำให้เกิดสิว เกิดการระคายเคืองจากเหงื่อ จากฝุ่น และจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่เป็นสิวซึ่งมีสภาพผิวที่ไม่ได้แข็งแรงเท่าคนอื่น จะต้องเก็บตัวเงียบอยู่ในอาคารจนออกไปไหนไม่ได้ เพียงแค่เราจะต้องดูแลและปกป้องผิวให้ถูกวิธี เท่านั้น
วิธีดูแลผิวเป็นสิว จากแสงแดด
1.ทาครีมกันแดดทุกๆ 2-3 ชั่วโมง
- เลือกใช้โลชั่นกันแดดชนิดบางเบา ที่มีส่วนผสมของน้ำมันน้อย ไม่จำเป็นต้องเลือกแบบที่เป็นกันแดดแบบกันน้ำ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวมันครีมกันแดดแบบกันน้ำอาจจะทำให้หน้ามันมากขึ้นและเกิดการอุดตันได้
- สำหรับชนิดของสารกันแดด เราสามารถเลือกใช้ครีมกันแดดที่ช่วยสะท้อนรังสียูวี เช่น ครีมกันแดดชนิดกายภาพ (Physical sunscreen) ซึ่งมีส่วนผสมของสารที่สามารถสะท้อนรังสี UVA และ UVB ที่ตกกระทบลงบนผิวให้ออกไปจากผิวหนังได้ โดยสามารถสังเกตส่วนผสมข้างผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีส่วนผสมของ Zinc Oxide หรือ Titanium Dioxide และ ระบุเป็นครีมกันแดดชนิด physical sunscreen ซึ่งจะมีผลระคายเคืองต่อผิวน้อยกว่าสารในกลุ่มครีมกันแดดชนิดเคมี (Chemical sunscreen) ที่มีกลไกในการปกป้องแสงแดด ด้วยการดูดซับรังสีไว้ที่ผิว ซึ่งอาจจะทำให้ผิวเกิดการแพ้ระคายเคืองได้ง่ายกว่าการใช้ครีมกันแดดแบบ physical sunscreen ชนิดไม่กันน้ำ จึงเหมาะกับผิวเป็นสิวมากกว่า
- ความสามารถในการป้องกันรังสียูวีนั้น ค่า SPF30 และ PA+++ นับว่าเป็นค่าความสามารถในการป้องกันรังสียูวีที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลแล้วว่า “SPF 30” สามารถป้องกันผิวไหม้แดดจากรังสี UVB ได้แตกต่างจาก “SPF 50” เพียง 1% เท่านั้น และการใช้ครีมกันแดดเมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้หรือต้องอยู่ใต้แสงแดดนานๆ ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากสารกันแดดสามารถหลุดจากเหงื่อ ความไม่สม่ำเสมอในการทาแต่ละครั้ง ความหนาบางในการทา และการถูกเช็ดถูออกโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ส่วน “PA+++” เป็นค่าที่คำนวณได้จากค่า SPF ซึ่งจะแสดงถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ที่เป็นสาเหตุของการเกิดจุดด่างดำและริ้วรอยก่อนวัยอันควร ซึ่งทั้ง UVB และ UVA ล้วนเป็นรังสีที่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดสิวได้ โดยทำให้โครงสร้างของผิวผิดไป จากความไหม้และยังลงลึกลงไปใต้ผิว ทำให้เกิดการระคายเคือง เมื่อผิวไม่แข็งแรงย่อมทำให้เกิดการระคายเคืองง่าย และเกิดการติดเชื้อง่ายตามมา ดังนั้นการป้องกันผิวไม่ให้โดนแสงแดดจะช่วยเรื่องการเกิดสิวได้ด้วย
2.ทานวิตามินซีเสริม
มีรายงานการวิจัยว่าวิตามินซีช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น สามารถช่วยลดการผลิตเม็ดสีเมลานินในชั้นผิวหนังกำพร้าที่ได้รับผลกระทบจากรังสี UVB อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูผิวจากผลกระทบจากรังสี UVA ที่เป็นสาเหตุของริ้วรอยแห่งวัย จุดด่างดำ กระและฝ้า นอกจากนั้นวิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจนเพื่อช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ให้ผิวชุ่มชื้น แลดูสว่างกระจ่างใส กระตุ้นกระบวนผลิตกลูต้าไธโอนและวิตามินอี จึงมีส่วนช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี และยังช่วยให้แผลเป็นจากสิวหายเร็วขึ้น พร้อมช่วยปรับสมดุลให้ผิวกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
3.พกสเปรย์สิวสำหรับผิวหน้าไว้ฉีดระหว่างวัน
การพกสเปรย์สิวสำหรับผิวหน้าไว้ฉีดระหว่างวันจะช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนใบหน้าจากแสงแดดได้ ช่วยให้ผิวเย็น และ ลดความมันบนใบหน้า ทั้งยังเพิ่มความสดชื่นในระหว่างวันได้อีกด้วย ควรเลือกใช้สเปรย์สิวที่ไม่มีส่วนผสมของ BHA เนื่องจาก BHA มีความเป็นกรดสูง จะทำให้ผิวแห้งลอกและไวต่อแสง ซึ่งไม่เหมาะกับการออกมาเผชิญกับแสงแดดจ้าในช่วงฤดูร้อน
4.ดื่มน้ำเยอะๆ วันละ 8 แก้ว หรือ 2 ลิตร
เนื่องจากน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญ 2 ใน3 ของร่างกาย โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อน ร่างกายสูญเสียเหงื่อมาก เพื่อปรับอุณหภูมิภายในร่างกายให้สมดุลเมื่อเผชิญกับอากาศร้อน หากดื่มน้ำน้อยจนเกินไปจะทำให้ผิวแห้งหมองคล้ำและมีความมันบนใบหน้าร่วมด้วย จึงทำให้เกิดสิวได้ง่าย ดังนั้นควรจิบน้ำบ่อยๆ วันละ 8 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร จะช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย และเสริมสร้างให้โครงสร้างผิวแข็งแรง ผิวพรรณแลดูเปล่งปลั่งกระจ่างใส และลดโอกาสในการเกิดสิวได้ด้วย
5. ล้างหน้าให้สะอาด
สำหรับผู้ที่เป็นสิวควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว เพื่อชำระสิ่งสกปรกจากเครื่องสำอาง และครีมกันแดดที่ใช้บนผิวให้สะอาด อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งตอนเช้าและเย็น ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีส่วนผสมของสครับ เนื่องจากจะยิ่งทำให้ผิวเป็นสิวเกิดการอักเสบได้ง่ายจากแรงกดทับจากเม็ดสครับ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับผิวเป็นสิวต้องเลือกชนิดที่อ่อนโยนต่อผิว ล้างแล้วต้องไม่รู้สึกแห้งตึงหรือรู้สึกว่าไม่มีความชุ่มชื้นเหลือบนใบหน้า เนื่องจากจะยิ่งทำให้ผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงและมลภาวะแห้ง ทำให้ผิวอ่อนแอลง ซึ่งยิ่งเพิ่มโอกาสให้ผิวแพ้ง่ายขึ้นและเกิดสิวได้ง่ายขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังเผชิญกับแสงแดดแล้วเกิดอาการสิวเห่อมากกว่าปกติ และมีอาการแสบร้อนไม่หาย ให้รีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง หรือ ปรึกษาเภสัชกร
เปิดความสวย ของ พิมฐา ฐานิดา ทำอย่างไรให้หน้าใสได้เบอร์นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก: ดร.ภญ.จิรวรรณ โอพรสวัสดิ์, oldrock