แพร อมตา จิตตะเสนีย์ บิวตี้อินฟลูเอนเซอร์ที่หลายๆคนรู้จักเธอในนาม Pearypie หรือ แพรี่พาย จากเดิมที่แพรี่พายจัดอยู่ในกลุ่มบิวตี้อินฟลูเอนเซอร์ด้านบิวตี้และความงามอันดับต้นๆของประเทศ ที่มักจะมีคอนเท้นท์เกี่ยวกับความสวยความงามให้แฟนๆได้ติดตามกันมากมาย แต่ในระยะหลัง2-3ปีมานี้หากใครได้ติดตามเธออยู่ ก็จะได้รู้กันดีว่า แพรี่พาย เปลี่ยนความสนใจของเธอจากเดิมที่มุ่งหน้าเรื่องการแต่งหน้าและความงาม แต่เธอหันหน้าเข้าสู่วงการ “ผ้าไทย” ที่เป็นภูมิปัญญาของชาวไทยอย่างแท้จริง และภาพคุ้นตาของเธอก็คือ หญิงสาวที่นำผ้าไทยมาสวมใส่อย่างงดงาม เมื่อแพรี่พาย นำผ้าไทยที่ในตอนนั้น คนส่วนใหญ่ยังมองว่าผ้าไทยมีไว้สำหรับคนสูงวัย แต่เธอนำมันมาออกแบบให้กลายเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นที่ดูสวยทันสมัย บวกเข้ากับการนำผ้าไทยมาเป็นเอกลักษณ์ในการนำเสนอ จนกลายมาเป็นตัวแทนและกระบอกเสียงสำคัญที่สร้างแรงผลักดันให้วงการผ้าไทยได้ไม่น้อย
แพรี่พาย เล่าว่าจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอรู้สึกอิ่มกับการสร้างบิวตี้คอนเท้นต์ และเริ่มมองหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ก็คือ วันหนึ่งเธอได้มีโอกาสไปสัมผัสกับผ้าไทยในขณะที่ไปสอนแต่งหน้าที่สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น เธอรู้สึกประทับใจและกลับมาเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง จนได้ความรู้เรื่องสีจากธรรมชาติ เรื่องการทอผ้าไทย จนกระทั้งตามไปศึกษาตามแหล่งทอผ้าไทยทั่วประเทศ จนกลายเป็นความรักที่อยากจะได้เรียนรู้และอนุรักษ์ธรรมชาติ เธอบอกว่านี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้พบความหมายของชีวิต ว่าสิ่งที่ทำทำเพื่ออะไรและทำให้รักตัวเองมากกว่าที่เคย และยังส่งพลังบวกให้กับตัวเองให้อยากดูแลตัวเองและพาตัวเองไปสู่สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติที่สมบูรณ์
และล่าสุด แพรี่พาย ก็ยังสานต่อเรื่องราวที่เธอหลงรักเข้าเต็มเปา เมื่อเข้าสู่วงการผ้าที่ได้จากธรรมชาติ เธอจึงหลงใหลวิถีธรรมชาติตามมาด้วย และในตอนนี้หากใครได้เข้าไปติดตามในแฟนเพจของเธอก็คงจะได้เห็นแล้วว่า แพรี่พาย กำลังมุ่งมั่นและสนุกกับการแปลงร่างพื้นที่ตึกบนดาดฟ้า ให้กลายมาเป็น Green Space ที่เธอลงมือปลูกพืชผักสวนครัวมากมาย และไม่ใช่แค่ปลูกแล้วชื่นชม แต่เธอบอกว่าตอนนี้ตนเองคือผู้ที่กำลังทำเกษตรฉบับคนเมือง ที่กำลังศึกษาและสนใจวิถีชีวิตคู่ธรรมชาติอย่างจริงจัง
โดยแพรี่พายได้บอกเล่าเรื่องราวของเธอผ่านแฟนเพจที่เข้ามาติดตามชีวิตในมุมใหม่ๆ ที่ตอนนี้เธอบอกว่า ไม่ได้ทำอาชีพเป็นช่างแต่งหน้าอีกแล้ว แต่หันมารักและเรียนรู้วิถีชีวิตธรรมชาติอย่างแท้จริงและยั่งยืน
สวัสดีเพื่อนใหม่ๆทุกคนครัชชชชช ขอต้อนรับสู่บ้านใหม่ ดีใจที่เพื่อนๆสนใจการปลูกผักกินเอง ไร้สารเคมี ส่งเสริมสุขภาพร่างกายและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนค่า
ขออนุญาตแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ชื่อแพรนะคะ อยู่จังหวัดกรุงเทพมหานคร ป่าใหญ่ที่มีตึกสูงที่ทำด้วยคอนกรีตเรียงตัวกันอยู่ อาศัยอยู่ตึกคอนโดของที่บ้านที่เรากำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาพื้นที่ดาดฟ้าโล่ง ให้กลายเป็น green space ค่ะ
ดาดฟ้าที่เห็นอยู่นี้ใช้เวลา 4 เดือนเต็ม ค่อยๆปลูกต้นไม้ พืชผัก ตั้งแต่จากเป็นเมล็ดค่ะ ตอนเริ่มต้นคือท้อมากเพราะว่า ร้อนสุดๆ เหมือนของกลางทะเลทราย แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะอยู่บนตึก อยู่ที่สูง ที่ๆไหนๆก็ตาม เราสามารถเปลี่ยนเป็นพื้นที่การเกษตรฉบับคนเมืองได้ หากเราตั้งใจ ขยันและอดทน
ปัจจุบันมีพืชมากกว่าหนึ่งร้อยชนิด พืชผักสวนครัว สมุนไพรหลากชนิด พืชให้ผล เช่นฟักทอง น้ำเต้า แตงกวา มะระ กระเจี๊ยบฝัก ข้าวโพด พืชหัว พืชกินดอก ผักใบ แม้แต่ข้าว
นอกจากนี้ด้วยความชื่นชอบศิลปะ สีสัน fashion รวมถึงภูมิปัญญาสมัยก่อน มีการปลูกคราม ดาวเรือง ดาวกระจาย ผักปังสำหรับการย้อมสีผ้า และดอกไม้โบราณหลายๆชนิดสำหรับการปรุงน้ำอบน้ำปรุงในอนาคต ตอนนี้กำลังอยากเรียนการทำแชมพู สบู่หรืออะไรที่ไทยๆค่ะ
ตั้งแต่เลิกอาชีพเป็น ช่างแต่งหน้า เมื่อ 4 ปีที่แล้ว หันมาสนใจและศึกษาในเรื่องผ้าไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตคู่ธรรมชาติ การกินอาหารตามฤดูกาล การกินอาหารเป็นยา การเกษตรแบบอย่างยื่น พอเพียงและอินทรีย์ค่ะ ได้มีโอกาสลงพื้นหลายจังหวัด ทั้งเรียนรู้ขบวนการทอผ้าไทยอีสานใต้เหนือ และ การเกษตรให้พื้นที่ต่างๆ ข้างป่า บนดอย กับมูลนิธิต่างๆ เช่นแม่ฟ้าหลวงเรื่องการเผาข้าวโพด ภูเขาหัวโล้นเป็นต้นปัจจุบันเริ่มทำค่ายธรรมชาติอยู่ที่อำเภอเชียงดาว กับถิ่นนิยมค่ะ
ยังไงก็ฝากติดตามกันนะ สัญญาว่านำเสนอสิ่งที่มีคุณค่าและสิ่งดีๆรอบตัวโดยเฉพาะของไทยๆค่ะ
ติดตามเรื่องราวของเธอเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com/pearypiemakeupartist