มิ้นท์ พรปรียา จำนงบุตร อดีตผู้เข้าประกวดที่ผ่านเข้ารอบ 20คนสุดท้าย มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 ที่เคยกลายเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจเมื่อเธอเลือกหยิบยกเรื่องอาชญวิทยามาเป็นหนึ่งในจุดยืนของการเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสังคม โดยเฉพาะเรื่องของผู้ต้องขัง ซึ่งในตอนนั้นเอง เธอได้พูดประเด็นที่สวนกระแสสังอย่างมากคือ ข่มขืน ไม่เท่ากับ ประหาร โดยจุดยืนของเธอคือการมองว่าการใช้บทลงโทษที่รุนแรงอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
หลังจากจบการประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 ไปแล้วนั้น มิ้นท์ พรปรียา เคยรับตำแหน่งเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินเอมิเรตส์ และเธอกำลังศึกษาปริญาโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สาขาอาชญวิทยา ซึ่งเธอได้รับทุนจากกรมราชทัณฑ์ ในการศึกษาต่อในครั้งนี้
ล่าสุด มิ้นท์ได้โพสต์ผ่านโซเชียลส่วนตัวว่า ได้รับแจ้งจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ว่าได้เรียนจบปริญญาโท สาขาอาชญาวิทยาแล้วค่ะ หวังว่าจะได้นำความรู้มาพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง และหากเป็นไปได้หวังว่าจะได้นำความรู้มาพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นกว่านี้ค่ะ
วิทยานิพนธ์เรื่องการศึกษาประสบการณ์ผู้ต้องขังแม่และเด็กในเรือนจำระหว่างประเทศไทยและอังกฤษ
รอบ preliminary ในการประกวด MUT 2020 Miss Universe Thailand มิ้นท์เลือกที่จะนำเสนอนางวันทอง (Wan Thong through the Looking Glass) ในมุมอีกมุมที่ต่างออกไป เพื่อล้างบาปนางวันทอง และสะท้อนให้ทุกคนเห็นว่านางวันทองเป็นหญิงที่โดนโทษทัณฑ์ประหารเพียงเพราะว่ากระบวนการยุติธรรมฟังความเพียงข้างเดียว ในสังคมปิตาธิปไตยที่ชายเป็นใหญ่
ในความเห็นของมิ้นท์ นางวันทอง ถูกตีตราว่าเป็นหญิงสองใจ ในยุคสมัยที่กฏหมายถูกบัญญัติโดยสังคมชายเป็นใหญ่ทำให้ผลของการถูกตัดสินผ่านกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ได้รับฟังเหตุผลรอบด้าน ทำให้ผู้หญิงที่ถูกอคติทางเพศกดทับและไม่มีปากเสียงใด ๆ จนกระทั่งชะตาชีวิตของนางวันทองได้จบลงด้วยโทษทัณฑ์ประหาร มิ้นท์ในฐานะที่เป็นนักเรียนทุนกรมราชทัณฑ์ สาขาอาชญาวิทยา จึงเลือกนำเสนอตัวละคร นางวันทอง ด้วยชุดสีขาวจากห้องเสื้อ Myriad Grand Monde และตะกร้าสานที่มิ้นท์ถือซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของผู้ต้องขัง เพื่อแสดงให้เห็นว่า บางครั้งความอยุติธรรม ก็อาจเกิดขึ้นได้ในกระบวนการยุติธรรม
ที่มาเรื่องและภาพจาก mintppreeya