การซักผ้าในปัจจุบันนี้ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้เครื่องซักผ้า เพื่อช่วยประหยัดเวลาและทุุ่นแรงในสภาวะที่ต้องเร่งรีบและยังสามารถทำกิจกรรมอื่นควบคู่ไปได้ในระหว่างที่รอซักผ้า โดยส่วนใหญ่แล้วคนมักจะไม่เข้าใจวิธีการใช้เครื่องซักผ้าให้เหมาะกับเสื้อผ้าแต่ละประเภท นั่นเพราะการซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้านั้น หากทำไม่ถูกวิธีและประเภทของผ้าแต่ละชนิด อาจส่งผลให้เสื้อผ้าของคุณเสียทรงและเสื้อผ้าเสียหายได้ง่าย แต่ที่จริงแล้ว หากทำความเข้าใจเพียงเล็กน้อย ก็จะช่วยการซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้านั้น กลายเป็นเรื่องง่ายและไร้ปัญหาเสื้อผ้าเสียหายได้อย่างง่ายดาย วันนี้เรามีเคล็ดลับมาฝากกันค่ะ
แน่นอนว่า เครื่องซักผ้าส่วนใหญ่นั้นมักจะมีฟังก์ชั่นที่คล้ายคลึงกัน โดยหลักๆแล้ว การซักผ้าเพื่อถนอมผ้าไม่ให้เสียหาย มีหลักให้คำนึงถึง 2 เรื่องหลักๆ คือ การใช้อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมกับเสื้อผ้า และ การเลือกรอบปั่น(ปั่นแห้ง)ให้เหมาะกับประเภทของเนื้อผ้า
อุณหภูมิของน้ำ
เรามักได้ยินว่าการซักผ้าด้วยน้ำร้อนเป็นการทำความสะอาดที่ดีที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผ้าแต่ละชนิดมีข้อจำกัดในการซักที่แตกต่างกันออกไป ผ้าบางชนิดไม่สามารถซักด้วยน้ำร้อนได้ การขจัดคราบเปื้อนแต่ละชนิดบนเสื้อผ้ายังต้องการการดูแลและซักด้วยน้ำในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน โดยมีเคล็ดลับในการเลือกซักผ้าด้วยน้ำร้อนและน้ำเย็น ดังนี้
น้ำร้อน ช่วยให้ผงซักฟอกละลายและทำความสะอาดคราบสกปรกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ความร้อนที่อุณหภูมิสูงตั้งแต่ 60 องศาเซลเซียสขึ้นไปยังช่วยฆ่าเชื้อโรค ไรฝุ่น และสารก่อภูมิแพ้ในเนื้อผ้า จึงเหมาะกับการซักผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว และผ้านวม รวมถึงการขจัดคราบหมึกปากกา คราบช็อคโกแลต คราบกาแฟ และคราบน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนกับผ้าบอบบางและผ้าย้อมสี เพราะอาจทำลายเนื้อผ้าให้เสียหายได้
น้ำเย็น สำหรับผ้าที่มีเนื้อละเอียดอ่อนควรซักด้วยน้ำเย็นเท่านั้น รวมถึงเสื้อขนสัตว์ ชุดผ้าไหม ยีนส์ย้อมสี และเสื้อผ้ามัดย้อม โดยแนะนำให้ใช้น้ำเย็นในอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียสขึ้นไป เพื่อป้องกันปัญหาผงซักฟอกละลายไม่หมด และจับตัวเป็นก้อนซึ่งทำให้เกิดคราบขาวบนเสื้อผ้า น้ำเย็นยังมีประสิทธิภาพในการกำจัดคราบโปรตีนบนเนื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นคราบนม คราบไอศกรีม และคราบไข่ เป็นต้น
รอบปั่นหมาด คือจำนวนรอบการหมุนต่อนาทีในการปั่นผ้าให้แห้ง ยิ่งจำนวนรอบมากเท่าไร ยิ่งทำให้ผ้าแห้งเร็วเท่านั้น
เราจำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะของเนื้อผ้าแต่ละชนิดในการเลือกรอบปั่นหมาด เนื่องจากรอบปั่นหมาดที่มากจนเกินไปสำหรับผ้าบางอาจทำให้เกิดการฉีกขาดได้ เคล็ดลับในการเลือกรอบปั่นหมาดตามชนิดของผ้า มีดังนี้
รอบปั่นหมาดที่ 1,000 รอบต่อนาที เหมาะกับผ้าฝ้าย ผ้าขนสัตว์ และผ้าที่ซักด้วยมือที่ต้องการให้ผ้าแห้งมากขึ้นก่อนนำไปตาก ข้อดีของการใช้รอบปั่นหมาดในจำนวนที่สูงจะช่วยลดระยะเวลาในการตากผ้า ประหยัดเวลาและค่าไฟเมื่อนำผ้าไปอบในเครื่องอบผ้าต่อ หากเป็นผ้าที่มีความหนาเป็นพิเศษ เช่น ผ้ายีนส์ ควรใช้รอบปั่นหมาดมากกว่า 1,000 รอบต่อนาทีขึ้นไป
รอบปั่นหมาดที่ต่ำกว่า 800 รอบต่อนาที เหมาะกับผ้าเนื้อบาง ผ้าไหม ผ้านวม และผ้าที่ต้องการให้รีดง่าย เนื่องจากการใช้รอบปั่นหมาดในจำนวนที่ลดลง จะช่วยให้เสื้อผ้ามีรอยยับน้อยลง โดยเสื้อผ้าบางชนิดอาจไม่จำเป็นต้องนำมารีดหลังการปั่นหมาดเลยก็ได้