BMW Motorrad คือหนึ่งในแบรนด์มอเตอร์ไซค์ที่คนรักความเร็ว 2 ล้อ ใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของ เพราะทุกรุ่นที่เคยผลิตมาไม่เคยล้าสมัย แถมยังเป็นที่ต้องการของนักสะสมจนถึงปัจจุบัน นั่นเพราะ BMW Motorrad ไม่ได้เป็นแค่มอเตอร์ไซค์ แต่คือเกียรติประวัติแห่ง BMW และยิ่งกว่านั้นยังเป็นสุนทรียภาพแห่งความเร็วและสมรรถนะ
M2B15 รหัสตำนานของเครื่องยนต์ “บ็อกเซอร์”
เรื่องราวของ BMW Motorrad เริ่มต้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยสนธิสัญญาแวร์ซายล์สั่งห้ามเยอรมนีผลิตเครื่องบินรบ ถือเป็นช่วงเวลาที่ BMW ต้องตัดสินใจเพื่อความอยู่รอด มาร์ติน ชโตลเล่อะ (Martin Stolle) ผู้จัดการโรงงานที่รักการขี่มอเตอร์ไซค์ได้เสนอความคิดว่าการผลิตมอเตอร์ไซค์คือทางออกของบริษัทจึงได้เริ่มทดสอบมอเตอร์ไซค์ที่สร้างเองไปพร้อมกับควบคุมการผลิตเบรกของ BMW
ต่อมามักซ์ ฟริซ (Max Friz) หัวหน้าทีมวิศวกรรมของ BMW ได้เข้ามาช่วยพัฒนาเครื่องยนต์ต่อ จนในช่วงต้นทศวรรษ 1920 จึงได้เครื่องยนต์ 2 สูบยันในชื่อ “บ็อกเซอร์” (Boxer) ที่มีลักษณะเด่นคือลูกสูบคู่วางตัวในแนวราบตรงข้ามกัน ก้านสูบยันเพลาข้อเหวี่ยงหมุนพุ่งเข้าหากันคล้ายกำปั้นของนักมวย ด้วยรหัสว่า M2B15 ที่กลายมาเป็นเอกลักษณ์ของมอเตอร์ไซค์ของ BMW ในเวลาต่อมา
ดังนั้น M2B15 คือบทพิสูจน์แล้วว่าบริษัทได้มาถูกทาง วัดจากยอดออเดอร์ของมอเตอร์ไซค์หลายแบรนด์ที่เลือกใช้เครื่องยนต์ของ BMW เพราะเชื่อมั่นในประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้บริหารของบริษัทตัดสินใจหันมาโฟกัสที่บริษัทใหม่ที่จะโฟกัสให้การผลิตมอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ
ความสำเร็จนี้ยังส่งผลให้ฟริซ มั่นใจและหันมาทุ่มเทพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ที่ดีกว่าเดิม คือเครื่อง M2B33 และยังออกแบบเฟรมท่อเหล็กคล้ายมอเตอร์ไซค์ปัจจุบัน เพื่อรองรับเครื่องยนต์ใหม่อีกด้วย
R32 จุดเริ่มต้นของ BMW Motorrad
ต่อมาในทศวรรษที่ 1920 มอเตอร์ไซค์ได้กลายเป็นพาหนะสามัญประจำบ้านของชาวเยอรมัน ด้วยเพราะราคาที่ไม่สูง ซ่อมบำรุงง่ายและพาผู้ควบขับไปได้ทุกที่ ทำให้เครื่องยนต์รหัส M2B33 ได้ถูกใช้ใน R32 และมีตราวงกลมฟ้า-ขาวติดถังน้ำมัน มอเตอร์ไซค์รุ่นแรกที่มีรูปลักษณ์แปลกตาที่เปิดตัวภายใต้แบรนด์ “BMW Motorrad” ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า “มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู” กลายเป็นไฮไลท์ที่สร้างความฮือฮาในงานปารีส มอเตอร์โชว์ปี 1923 จึงนับได้ว่า BMW Motorrad ออกมาได้ถูกจังหวะและจับจุดลูกค้าได้ตรงเป้า เพราะ R32 คันนี้ประกอบชิ้นส่วนและอุปกรณ์อย่างชาญฉลาดด้วยแนวคิดหลักสองอย่างคือ 1.ซ่อมบำรุงง่าย 2.เครื่องยนต์ทำงานได้เที่ยงตรง วางใจได้
แม้ R32 จะราคาสูงเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นแต่นักขี่มอเตอร์ไซค์ตัวจริงก็ยอมแลกเพื่อให้ได้มาซึ่งยานพาหนะที่มั่นใจได้ว่าจะพาเขากลับบ้านอย่างปลอดภัย เพราะความชาญฉลาดของเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ M2B33 คือการวางเฟรมในแนวขวางเหมือนเครื่องบ็อกเซอร์ปัจจุบัน ทำให้เสื้อสูบที่ยื่นออกจากตัวเครื่องซ้ายขวาอยู่รับลมโดยตรงทำให้หมดปัญหาโอเวอร์ฮีท ระบบส่งกำลัง 3 สปีดเปลี่ยนเกียร์ด้วยคันโยกมือทางขวาของถังน้ำมันขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเพลาคาร์เดิน (Carden) ที่แทบไม่ต้องดูแลอะไรเลย และเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของมอเตอร์ไซค์ในยุคนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ยังใช้โซ่หรือสายพานอยู่ ทำให้ R32 ได้เข้าสู่สายการผลิตอย่างเต็มตัว กว่า 3,000 คันจนถึงปี 1926
หนึ่งปีต่อมา BMW Motorrad เปิดตัว R37 ในงานมอเตอร์โชว์ที่กรุงเบอร์ลิน ด้วยรูปลักษณ์ที่ยังสะกดสายตาแฟนๆ เหมือนเดิม และยังได้รูดอล์ฟ ชไลเคอร์ (Rudolf Schleicher) วิศวกรหนุ่ม เข้ามาช่วยเสริมทัพพัฒนาเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ให้ดีและแรงขึ้นด้วยเพลาข้อเหวี่ยงโอเวอร์เฮดแคม งานนี้ชไลเคอร์ยังลงเป็นนักแข่งด้วย และสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการพามอเตอร์ไซค์ R37 สภาพเดิมๆ จากโรงงาน ไปคว้าชัยตัดหน้ามอเตอร์ไซค์แข่งคันอื่นๆ ในการแข่งทรหดนาน 6 วันต่อเนื่องของอังกฤษเมื่อปี 1926 ซึ่งเป็นการคว้าเหรียญทองในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับนานาชาติครั้งแรกของ BMW Motorrad!
นับจากนั้นเป็นต้นมา BMW Motorrad ประสบความสำเร็จในสนามแข่งอย่างต่อเนื่องและวีรกรรมที่อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์คือการที่แอร์นสต์ ยาค็อบ เฮ็นเน่อะ (Ernst Jakob Henne) ถูกจารึกชื่อไว้ว่าเป็นผู้ขี่มอเตอร์ไซค์ที่เร็วที่สุดในโลก กับ BMW WR750 ขนาด 750 ซี.ซี. สูบนอนยันแบบบ็อกเซอร์ ติดตั้งระบบอัดอากาศซูเปอร์ชาร์จ ที่วิ่งทำลายสถิติโลกของมอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็ว 214.4 ก.ม./ช.ม. เมื่อ 19 กันยายน 1929
R5 ตำนานที่ยังมีลมหายใจ
นอกจากความเร็วและประสิทธิภาพของเครื่องยนต์การดีไซน์รถมอเตอร์ไซค์ เป็นอีกสิ่งที่ทำให้ BMW Motorrad ครองใจแฟนๆ และถ้าพูดถึงมอเตอร์ไซค์สายวินเทจที่ถูกพูดถึงมากที่สุด ย่อมหนีไม่พ้น R5 ที่เปิดตัวในปี 1936 จนใครๆ ต่างยกตำแหน่ง “มอเตอร์ไซค์ที่สวยที่สุดในโลก” จากความเป๊ะของยนตรกรรมสัญชาติเยอรมัน และสะท้อนความงดงามราวชิ้นงานศิลปะ ผนวกขุมพลังอันหนักแน่น ดุดัน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 500 ซีซี ซับแรงกระแทกด้วยสปริงใต้อาน กับตะเกียบช็อคหน้าทรงกระบอกซ้อนคว่ำ (telescopic) ปรับความหนืดได้แบบเดียวกับที่ใช้ในยุคปัจจุบัน และที่ล้ำกว่าคู่แข่งคือเปลี่ยนเกียร์ด้วยกระเดื่องเท้าซ้ายเหยียบ แต่ยังคงคันเปลี่ยนเกียร์มือที่ด้านขวาของเครื่องยนต์ไว้ เหมือนมอเตอร์ไซค์ยุคปัจจุบันทั้งที่เวลาผ่านมาแล้วกว่า 80 ปี
จึงสรุปได้ว่า R5 คือมอเตอร์ไซค์ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดเพื่อให้คนพูดถึง ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบที่ล้ำยุคทั้งรูปทรงอันงดงาม เส้นสายที่อ่อนช้อยคลาสสิก และเครื่องยนต์ที่แรงดุดัน เรียกความเร็วได้เหมือนสั่ง และมีคุณสมบัติของมอเตอร์ไซค์พรีเมียมอย่างครบถ้วน คือ เครื่องยนต์บำรุงรักษาง่าย ทำงานเที่ยงตรง ไม่ทำให้ผิดหวัง และทนทานนานปี
สานต่อตำนานความแรงในร่างคลาสสิค
ทำให้ปัจจุบันมอเตอร์ไซค์รุ่นเก่าที่โดดเด่นด้วยเส้นสายโค้งมนที่ให้ความรู้สึกวินเทจ กลายเป็นที่เสาะหาของคนรัก BMW เพื่อนำมาซ่อมแซมคืนสภาพให้กลับมาโลดแล่นบนท้องถนนได้อีกครั้ง ขณะที่ BMW Motorrad ก็หันมาพัฒนามอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ๆ เอาใจคอคลาสสิค โดยออกแบบด้วยเส้นสายอันเป็นเอกลักษณ์ และคงเครื่องยนต์บ็อกเซอร์และการขับเคลื่อนด้วยเพลาที่ใช้มาตั้งแต่รุ่นแรกถึงปัจจุบันไว้ แต่เสริมตัวเครื่องด้วยเทคโนโลยีและความแรงที่ทันสมัยขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือมอเตอร์ไซค์รุ่นล่าสุดของ BMW Motorrad รหัส R18 ที่รูปทรงรถสะท้อนภาพของ R5 ออกมาอย่างชัดเจน ขณะที่ใช้เครื่องยนต์บ็อกเซอร์รุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ BMW Motorrad ยังคงพัฒนามอเตอร์ไซค์ขึ้นตอบสนองการใช้งานรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไลน์สปอร์ต โรดสเตอร์ ครุยเซอร์ หรือทัวริ่ง แต่สำหรับคนที่ตกหลุมรักความคลาสสิคเหนือกาลเวลาของมอเตอร์ไซค์ BMW ไปแล้วล่ะก็ ครุยเซอร์สไตล์เฮอริเทจ (heritage) คือรถในฝันที่ทุกคนอยากครอบครอง