BMW Driving Experience ฺBMW

ถ้าขับรถเป็นแล้ว ทำไมต้องเรียนขับรถอีก BMW ชวนฝึกขับรถให้สนุกและปลอดภัย

โปรแกรม BMW Driving Experience มาจากแนวคิดของบีเอ็มดับเบิลยูที่ว่า ภายใต้แนวคิด “สร้างรถดีแล้ว ยังสร้างคนขับที่ดีด้วย”

Home / AUTO / ถ้าขับรถเป็นแล้ว ทำไมต้องเรียนขับรถอีก BMW ชวนฝึกขับรถให้สนุกและปลอดภัย

นอกเหนือจากการมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและสมรรถนะของรถยนต์อย่างไม่เคยหยุดยั้งแล้ว รู้หรือไม่ว่า BMW ยังเป็นหนึ่งในค่ายรถยนต์ที่ให้ความสำคัญในเรื่องสมรรถนะของตัวผู้ขับขี่อย่างจริงจังเท่าๆ กันกับการพัฒนาตัวรถเลยก็ว่าได้ ด้วยแนวคิดที่ว่า “แค่ตั้งใจผลิตสุดยอดรถที่มีสมรรถนะสูงนั้นยังไม่พอ สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรจึงจะสนับสนุนให้คนขับสามารถใช้งานยานพาหนะนั้นอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดสุนทรียภาพแห่งการขับขี่ได้มากที่สุดด้วย” จึงเกิดเป็นโปรแกรม BMW Driving Experience ขึ้น

โปรแกรม BMW Driving Experience คืออะไร

โปรแกรม BMW Driving Experience มาจากแนวคิด “สร้างรถดีแล้ว ยังสร้างคนขับที่ดีด้วย” โดยย้อนกลับไปในปี 1976 โปรแกรม BMW Driving Experience เริ่มต้นจากการร่วมมือของตำรวจมิวนิกที่ให้ค่ายรถ BMW ช่วยจัดโปรแกรมการขับขี่นี้ขึ้น และต่อมาทางกรรมการบริหารของบีเอ็มดับเบิลยูเห็นว่าน่าจะสานต่อ จึงตัดสินใจจะให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการควบคุมและขับขี่รถอย่างถูกต้องเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่คับขันบนท้องถนนสำหรับนักขับทุกคน พร้อมกับสอนให้คนขับได้ทราบถึงวิธีสังเกตอันตรายบนท้องถนนในช่วงเวลาที่เหมาะสม

จากนั้นในปีต่อมา คอร์สอบรมจึงเกิดขึ้นครั้งแรกอย่างเป็นทางการที่เมือง Manching โดยมี BMW Motorsport GmbH เป็นผู้ดำเนินงานและบริหารจัดการ และมีผู้เข้าร่วมอบรมอายุระหว่าง 22 ถึง 45 ปีเข้าร่วม กิจกรรมครั้งนั้นซึ่งเป็นหนึ่งในโปรแกรมฝึกอบรมคนขับที่จัดขึ้นโดยผู้ผลิตยานยนต์เป็นครั้งแรกและประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว

ทีมเทรนเนอร์ระดับเทพ

การจัดโปรแกรมอบรมแบบนี้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะนากจากจะต้องมีรถสมรรถนะถึงระดับ ที่มีความหลากหลายให้ลองขับแล้ว ที่สำคัญคือต้องมีทีมงานผู้ฝึกสอนที่ร่วมพัฒนาโปรแกรมอย่างเป็นระบบ ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูมีครบทุกอย่าง เรื่องสมรรถนะรถนั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนบรรดา Instructor ที่ลงสนามฝึกทักษะการขับขี่ให้ผู้เข้าอบรมก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล ส่วนใหญ่เป็นนักแข่งจากหน่วยงานมอเตอร์สปอร์ตของ BMW นั่นเอง ซึ่งทุกคนดำเนินการอบรมภายใต้การบริหารจัดการของบีเอ็มดับเบิลยูวางระบบเอาไว้ว่าผู้เข้าอบรมต้องได้ทั้งทักษะด้านความปลอดภัย รวมถึงความสนุกสนานเร้าใจจากหลังพวงมาลัยด้วย

รู้หรือไม่

หัวหน้าทีม Instructor คนแรกของกิจกรรมอบรมการขับขี่เมื่อปี 1977 คือ รอว์โน ออลโทเนน (Rauno Aaltonen) นักแข่งรถแรลลี่ระดับโลก “รอว์โน” เป็นนักแข่งที่ถือเป็นเทพการขับขี่ด้วยการใช้เทคนิคมากกว่าสไตล์ตีนผีเน้นเหยียบมิด จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนเทคนิกการเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ให้กับบีเอ็มดับเบิลยูในยุคนั้น

พัฒนาคอร์สอย่างต่อเนื่อง

กิจกรรม BMW Driving Experience ยังมีการเพิ่มรูปแบบและกระบวนการฝึกทักษะการขับขี่ในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยได้มีการเพิ่มเรื่องความสนุกสนานตื่นเต้นของการขับขี่ในสภาพภูมิประเทศและพื้นผิวที่แตกต่าง จากจุดเริ่มต้นที่สนามทดสอบก็ขยายมาเป็นโปรแกรมการขับขี่ฤดูหนาวบนพื้นหิมะและน้ำแข็ง ไปจนถึงการพาผู้ขับขี่ลงสนามแข่งระดับตำนาน เช่น สนามนูร์เบิร์กริง ไปจนถึงการพาลุยสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในแอฟริกาแบบออฟโรด ส่วนรถที่ใช้อบรมได้ขยายจากรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูรุ่นล่าสุดไปถึงรถตระกูล M ตระกูล i และตระกูล X ให้ผู้ขับขี่ได้ทดสอบสมรรถนะของเทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ก็ได้พาเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูไปสัมผัสประสบการณ์ BMW Driving Experience ในต่างประเทศมาแล้วหลายคอร์ส

มั่นใจกับคอร์สที่ได้มาตรฐาน

ในการออกแบบคอร์สทั้งหมดของ BMW Driving Experience มีจุดมุ่งหมายที่จะผสานความชำนาญด้านมอเตอร์สปอร์ตที่ได้สั่งสมมาให้เข้ากับความสนุกเร้าใจในการขับขี่อย่างลงตัวด้วย ทำให้ BMW Driving Experience ได้เสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมและกลายเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงของคนทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยก็ไม่พลาดที่จะนำคอร์สสุดมันส์แบบนี้มาจัดในประเทศด้วยเช่นกัน จนได้มาตรฐานโลกและได้รับการรับรองเป็น “Official Partner of M” ในการจัด BMW Driving Experience เป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา

4 คอร์ส สุดสนุกใน BMW Driving Experience

  • คอร์สระดับเริ่มต้น Basic Training ที่ผู้อบรมจะได้ผ่านด่านทดสอบต่างๆ อย่างการเบรคแล้วต้องหักหลบ การแก้อาการแหกโค้ง และไฮไลท์คือการแก้อาการรถหมุน 
  • คอร์สระดับสูง Advanced Training ซึ่งจะฝึกเทคนิคพื้นฐานในระดับความเร็วที่สูงขึ้น และเพิ่มการฝึกขับ J-Turn หรือการกลับรถแบบ 360 องศาที่หาเรียนได้ยากมาก รวมถึง
  • คอร์สสำหรับผู้หลงใหลความเร็ว BMW M Experience ที่พาไปลุยกับที่สนามพีระเซอร์กิต
  • คอร์สตะลุยออฟโรด BMW xDrive Experience

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีผู้ผ่านการอบรมจำนวนไม่น้อยที่กลับมาเรียนคอร์สต่อเนื่อง หรือซ้ำคอร์สเดิมเพราะติดใจในความสนุก ขณะที่หลายคนแนะนำเพื่อนฝูงและสมาชิกครอบครัวให้ลองมาร่วมกิจกรรมบ้างเพราะเล็งเห็นว่าได้ทักษะที่เป็นประโยชน์ต่อการขับขี่ในชีวิตประจำวันจริงๆ

ปัจจุบัน BMW Driving Experience เปิดรับผู้สนใจไม่จำกัดเพศ วัย และรถคู่ใจเป็นแบรนด์ไหน ขอแค่มีใบขับขี่ก็มาร่วมกิจกรรมกันได้ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมต่างๆ ได้ที่ www.bmw.co.th