ข่าวร้ายที่เหล่าบรรดานักขับขี่ ไบค์เกอร์ ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเริ่มเป็นภาพที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หลังจากช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามีข่าวว่า สรรพสามิต เตรียมเก็บ ภาษีบิ๊กไบค์ ที่มีเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,000 ซีซี ขึ้นไปเพิ่มคันละ 1 แสนบาท โดยการเก็บ ภาษี ใหม่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 63
การปรับขึ้นค่าภาษีในครั้งนี้เป็นไปคิดตามการค่าการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่สรรพสามิตจะเก็บภาษีตามขนาดเครื่องยนต์ โดยจะเริ่มนโยบายดังกล่าวกับรถจักรยานยนต์ที่เพิ่งผลิตเสร็จหรือนำเข้าหลังจากที่วันที่ 1ม.ค. 2563 ขณะที่รถจักรยานยนต์ ขนาดไม่เกิน 150 ซีซี ที่มีการใช้ 90% ของการใช้รถจักรยานยนต์ในประเทศทั้งหมดมีภาษีเพิ่มขึ้นคันละกว่า 100 บาทเท่านั้นเพราะจากเดิมเสียภาษีในอัตรา 2.5% มาเสียภาษี 3% ของราคาขายปลีกหรือราคานำเข้า
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี ในฐานะรองโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) กล่าว “บิ๊กไบค์ที่เสียภาษีเพิ่มในอัตราสูง ส่วนใหญ่เป็นรถของผู้มีรายได้ เพราะมีราคาคันละกว่า 1 ล้านบาทอยู่แล้ว ซึ่งบิ๊กไบค์ในประเทศไทยได้รับความนิยมมากขึ้น มีสัดส่วนประมาณ 2-3% ของมอเตอร์ไซค์ทั้งหมดเท่านั้น”
สำหรับอัตราการจัดเก็บภาษีรถจักรยานยนต์ใหม่ตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาดว่าจะแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มรถจักรยานยนต์ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 50 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษี 3%
- กลุ่มที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 50-100 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษี 5%
- กลุ่มที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 100-130 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษี 9%
- กลุ่มที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 130 กรัมต่อกิโลเมตรขึ้นไป เสีย 18%
ในอนาคตมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ตั้งแต่ 1,000 ซีซี ขึ้นไป จากเดิมที่ประชาชนต้องเสียภาษี 9% หลังจากมีการปรับภาษีใหม่เพิ่มอีกหนึ่งเท่าเป็น 18% ทำให้มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์มีราคาสูงขึ้นคิดง่ายๆ หากมอเตอร์ไซค์ราคา 1ล้านบาทจากเดิมที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม 90,000 บาท ประชาชนต้องจ่ายภาษีเพิ่มถึง 180,000 บาท ทางออกของเรื่องดังกล่าวอยู่ที่บริษัทผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์เเล้วว่าจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการลดค่าการปล่อยของเสียจากรถในอนาคตได้ดีขึ้นเพียงใดเพื่อลดภาระของผู้ซื้อ