Land Rover Defender คืนชีพอย่างเป็นทางการในฐานะเจนเนอเรชั่นที่สองของรถเอสยูวีสายลุย ซึ่งได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Frankfurt Motor Show 2019 ซึ่งในการมาครั้งนี้ถูกยกระดับความทันสมัยในทุกด้าน แต่ยังคงแฝงบุคลิก และประสิทธิภาพการลุยอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Land Rover ไว้อย่างเต็มที่ และมีให้เลือกทั้งแบบ 3 ประตู กับ 5 ประตู
Land Rover Defender ได้รับการพัฒนาบนแพลตฟอร์ม D7x รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างใหม่ ช่วงล่าง ระยะฐานล้อ รวมไปถึงการปรับองศาและมุมชองส่วนหน้ารถและหลังรถเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขับลุยได้ดีกว่าเดิม ร่วมกับการออกแบบตัวถังที่ผสมผสานทั้งความทันสมัย และความแข็งแรงมากขึ้นกว่าโฉมเดิมถึง 3 เท่า มั่นใจในการขับขี่ทุกสภาพถนน
มิติตัวถังประกอบไปด้วย ความกว้าง มม., ยาว มม., สูง มม., ระยะฐานล้อ มม. ส่วนประสิทธิภาพการลุย ด้วยตัวรถมีความสูงใต้ท้องรถ 291 มม. มุมปะทะ-มุมคร่อม-มุมจาก 38, 28 และ 40 องศา และประสิทธิภาพในการดำน้ำลึกสุด 900 มม. และประสิทธิภาพการลากจูงที่สามารถลากวัตถุได้หนักถึง 3,720 กก.
ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือระบบไฟ LED ทั้งไฟหน้ายันไฟท้ายที่ได้รับการดีไซน์ใหม่หมดจด ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผสานอย่างลงตัวกับบุคลิกตัวรถ ควบคู่กับการใส่ดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Land Rover ร่วมด้วย ประกอบกับตัวรถจะติดตั้งที่แขวนล้ออะไหล่พร้อมฝาครอบล้อที่ถูกดีไซน์ให้เข้ากับตัวรถ สำหรับภายในได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ติดตั้งออพชั่นที่มีความทันสมัยมากขึ้น รวมถึงวัสดุตกแต่งที่มีความหลากหลาย
สำหรับขุมพลังนั้นจะมีให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบ สมรรถนะ 300 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ที่ 8.1 วินาที, เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ เทอร์โบแบบ twin-scroll พร้อมระบบไฮบริด MHEV 48 โวลต์ สมรรถนะ 400 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ที่ 6.1 วินาที ทั้ง 2 รุ่น ใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ZF พร้อม Twin-speed transfer box
ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลจะเป็นความจุ 2.0 ลิตร ที่ให้สมรรถนะต่างกัน ได้แก่ 200 แรงม้า และ 240 แรงม้า ทั้งนี้เครื่องยนต์แต่ละแบบจะได้รับกำหนดชื่อเอาไว้เพื่อระบุได้อย่างชัดเจน ได้แก่ P300 (สี่สูบเทอร์โบ)/ P400 (6 สูบไฮบริด) / D200 และ D240 ตามลำดับ
Land Rover Defender อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีการขับขี่ที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบ Terrain Response ใหม่ล่าสุดที่ช่วยในการปรับแต่งการตั้งค่ารถให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่แบบออฟโรด, Center Slip Limited and Center and Rear Slip Limited ที่สามารถตั้งค่าผ่านจอสัมผัสได้, Wade Sensing, Land Rover All-Terrain Progress Control, ClearSight Ground View และออพชั่นตั้งค่าคันเร่ง เกียร์ พวงมาลัยร่วมด้วย
ด้านออพชั่นอื่นๆ ได้แก่ ระบบ Adaptive Cruise Control, Rear Pre-Collision Monitor, Rear Traffic Monitor, Clear Exit Monitor, Emergency Braking, Lane Keep Assist, Traffic Sign Recognition, Driver Condition Monitor รวมถึงระบบช่วยจอดรถทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ลูกค้าสามารถเลือกล้อได้มากถึง 12 แบบ ตั้งแต่ล้อเหล็กธรรมดา 18 นิ้ว ยันล้อ Luna alloys 22 นิ้ว พร้อมสีตัวถังที่หลากหลาย ส่วนภายในก็จะมีให้เลือกการตกแต่งที่หลากหลาย สำหรับรุ่นย่อยจะมีทั้ง Defender, Defender S, Defender SE, Defender HSE, Defender X และ Defender First Edition
ประกอบกับจะมีการแยกประเภทตามรูปแบบตัวถัง ได้แก่ Defender 110 แบบ 5 ประตู รองรับได้ทั้ง 5 – 6 ที่นั่ง ราคาเริ่มต้น 45,240 ปอนด์ หรือราวๆ 1.69 ล้านบาท และ Defender 90 แบบ 3 ประตู ที่นั่งแบบ 3+3 ราคาเริ่มต้น 40,000 ปอนด์ หรือราวๆ 1.5 ล้านบาท