สิ่งที่ผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าหรือปลั๊กอินไฮบริดต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ การชาร์จไฟฟ้า ผู้ขับขี่จะต้องทำความรู้จักกับกระแสไฟฟ้ากันก่อน อันเป็นข้อมูลพื้นฐานการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะส่งผลต่อระยะเวลาประสิทธิภาพการชาร์จไฟฟ้าเข้าสู่ตัวรถ และสามารถวางแผนบริหารเวลาได้อย่างเหมาะสม
กระแสไฟฟ้าที่หลายๆ ท่านรู้จักนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ กระแสไฟฟ้าตรง (DC) และกระแสไฟฟ้าแบบสลับ (AC) ซึ่งกระแสไฟฟ้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของสาธรณูปโภคมากที่สุดหรือเรียกง่ายๆ ไฟบ้านจะเป็นกระแสไฟฟ้าแบบสลับที่หลายๆ ท่านคงจะรู้จักกัน
โดยการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าผ่าน AC นั้นจะเรียกว่า Normal Charge ซึ่งจะเป็นการนำไฟบ้านวิ่งผ่าน On Board Charger ที่ยู่ภายในตัวรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อแปลงไฟฟ้าจากกระแสสลับเป็นกระแสตรงเพื่อชาร์จเข้าแบตเตอรี่รถยนต์ ข้อดีก็คือสามารถชาร์จจากไฟบ้านได้โดยตรงเลย ใช้งานไม่ซับซ้อน แต่ข้อจำกัดจะอยู่ที่ขนาดของ On Board Charger ซึ่งจะมีผลต่อระยะเวลาในการชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
การคำนวณระยะเวลาในการชาร์จแบบ AC จะใช้สูตร “ความจุแบตเตอรี่ (กิโลวัตต์ชั่วโมง / kWh) ÷ ขนาด On Board Charger (กิโลวัตต์ / kW) = ระยะเวลาในการชาร์จ” เช่น ความจุแบตเตอรี่ 24 kWh แต่ขนาดออนบอร์ดแค่ 3 กิโลวัตต์ หากชาร์จไฟบ้านก็จะใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง
สำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าผ่าน DC หรือกระแสตรงนั้น ส่วนมากจะมาจากการชาร์จผ่านเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าจาก AC เป็น DC เพื่อชาร์จเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าโดยไม่ต้องผ่าน On Board Charger นั่นหมายความว่าจะสามารถชาร์จเข้าสู่ตัวรถได้อย่างรวดเร็ว แถมเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า มีขนาดที่หลากหลายเพื่อรองรับการใช้งานในรูปแบบต่างๆ
การคำนวณระยะเวลาในการชาร์จแบบ DC จะใช้สูตร “ความจุแบตเตอรี่ (กิโลวัตต์ชั่วโมง / kWh) ÷ เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (กิโลวัตต์ / kW) = ระยะเวลาในการชาร์จ” เช่น ความจุแบตเตอรี่ 24 kWh แต่เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าสามารถชาร์จได้สูงสุด 50 กิโลวัตต์ จะใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที
จากบทความข้างต้นนี้ หลายๆ ท่านคงจะคิดว่าการชาร์จแบบกระแสตรง หรือ DC ย่อมดีกว่าตรงที่มีความรวดเร็วในการชาร์จแบบกระแสสลับ หรือ AC แต่ในความจริงแล้ทุกแบบล้วยมีข้อดีของมัน และยังมีปัจจัยสนับสนุนร่วมด้วย อาทิ ระยะเวลาในชีวิตประจำวัน ซึ่งการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า กินเวลานานกว่าการเติมน้ำมันรถทั่วๆ ไปตั้งแต่เป็นนาทีจนถึงเป็นชั่วโมง คงไม่มีใครยอมนั่นแช่นานเกิน 10 นาที เพื่อรอชาร์จไฟให้เต็ม แต่จะเสียบปลั๊กแล้วออกทำกิจกรรมนอกรถเสียมากกว่า
โดยการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ AC นั้นเหมาะสำหรับการชาร์จข้ามคืน หลังจากผู้ขับขี่กลับถึงบ้าน ก็สามารถเสียบปลั๊กชาร์จในช่วงค่ำ ถึงเช้าก็เต็มแล้ว หรือจะบวกเงินเพื่อติดตั้ง Wallbox เพื่อย่นระยะเวลาในการชาร์จก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ค่าไฟในการชาร์จจะเฉลี่ยประมาณ 0.7-1 บาท/กิโลเมตร ซึ่งถือได้ว่าถูกพอสมควร
ส่วนเครื่องชาร์จแบบ DC นั้นจะมีมูลค่าที่สูง เหมาะสำหรับการบริการแก่นักท่องเที่ยวที่ใช้เวลาทำกิจกรรมไม่นาน จึงมักจะพบเห็นได้ในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร หรือแม้แต่ลานจอดรถ ประกอบกับเครื่องชาร์จแบบ DC จะต้องมีการซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้ผู้ให้บริการชาร์จไฟรถยนต์จำเป็นต้องมีการเก็บเงินค่าชาร์จด้วย ซึ่งจะมีราคาที่สูงกว่าการชาร์จแบบ AC
การชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ที่เหมาะสมสำหรับคุณมากที่สุดจะขึ้นอยู่กับช่วงระยะเวลาการทำกิจกรรมของผู้ใช้รถ หากอยู่ในบ้านการชาร์จแบบกระแสสลับจะให้ความสบายใจมากกว่า ส่วนในกรณีที่ไปเที่ยว ช็อปปิ้ง หรือแม้แต่เดินทางไกล การชาร์จแบบกระแสตรงจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น รถยนต์ไฟฟ้าควรชาร์จไฟให้เต็มประจุ 1 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อเป็นการกระตุ้นการทำงานของเซลล์เก็บประจุให้เต็มที่ และเป็นการรักษาแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ในระยะยาว