N.I.D.E Navara Black Edition Nissan Intelligent Driving Experience Nissan Intelligent Mobility Nissan Terra Nissan X-Trail นิสสัน ประเทศไทย นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี เมียนมาร์

ขับ Nissan Navara, X-Trail, Terra ตะลุยพม่า กับกิจกรรม N.I.D.E ไปได้ทุกที่!!

นิสสัน ประเทศไทย จัดกิจกรรมทดสอบการขับขี่โดยสื่อมวลชนสายยานยนต์พร้อมกับรถยนต์สามเซกเมนต์ดังของค่าย New Navara Black Edition, New Nissan X-Trail เเละ All New Nissan Terra…

Home / AUTO / ขับ Nissan Navara, X-Trail, Terra ตะลุยพม่า กับกิจกรรม N.I.D.E ไปได้ทุกที่!!

นิสสัน ประเทศไทย จัดกิจกรรมทดสอบการขับขี่โดยสื่อมวลชนสายยานยนต์พร้อมกับรถยนต์สามเซกเมนต์ดังของค่าย New Navara Black Edition, New Nissan X-Trail เเละ All New Nissan Terra บนเส้นทางภายในประเทศเมียนมาร์ ภายใต้ชื่อกิจกรรม ลุยได้ทุกที่ Nissan Intelligent Driving Experience (N.I.D.E) โดยแบ่งกลุ่มทดสอบออกเป็นสามกลุ่ม สามเส้นทาง ได้แก่ กลุ่มที่1 กรุงเทพ-กาญจนบุรี, ทวาย-ย่างกุ้ง กลุ่มที่2 เส้นทางย่างกุ้ง – มัณฑะเลย์ กลุ่มที่3 มัณฑะเลย์ – เชียงตุง รวมระยะเวลา 11วัน 10 คืน กับระยะทางร่วม 3,000 กม. ถือเป็นทริปประวัติศาสตร์เพราะยังไม่มีค่ายรถแบรนด์ไหนเคยเดินทางแบบคาราวานตั้งเเต่ทิศใต้ขึ้นไปจรดเหนือของ เมียนมาร์ มาก่อน

ทาง auto.MThai ได้รับเกียรต์จากทาง นิสสัน ประเทศไทย เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวในกลุ่มที่ 1 โดยจุดเริ่มต้นอยู่ที่โรงเเรม Miracle Grand แจ้งวัฒนะ ก่อนจะเดินทางไปที่จุดผ่านแดนเมียร์มาร์ จ.กาญจนบุรี กับการเดินทางด้วยรถยนต์ All New Nissan Terra พร้อมกับสื่อมวลชนจากค่ายอื่นอีกสองท่าน ก่อนอื่นขออธิบายกฏกติกาการเดินทางของทริปให้ทราบกันก่อนว่า ทุกวันจะมีการสลับรถให้คณะผู้สื่อข่าวได้ใช้แบบไม่ซ้ำคันตลอดระยะเวลาสามวันสองคืน นั่นหมายความว่าในวันแรกที่เราได้ขับ Nissan Terra จากไทยเข้าเมียนมาร์เเล้ว อีกสองวันหลังจากนั้นเราก็จะได้ขับรถอีกสองโมเดลที่เหลือ แต่จะได้ขับรถรุ่นไหนในวันอะไรต้องติดตามกันต่อไป

Terra

ช่วงสายของวันแรกในการเดินทางคณะเดินทางทั้งหมดอยู่ที่จุดผ่านแดนตรวจคนเข้าเมืองที่ด่าน พุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี หลังจากทำธุระเอกสารการเข้าเมียนมาร์เสร็จเรียบร้อย บททดสอบเเรกที่ต้องบอกว่าเป็นด่านหินที่สุดเเละเป็นด่านแรกสุดของการเดินทางก็มาถึง เนื่องจาก ด่านชายแดน พุน้ำร้อนยังเป็นด่าน ตม. น้องใหม่ทันทีที่ผ่านตม. เข้าสู่ประเทศเมียนมาร์ถนนหนทางยังไม่ได้ลาดยางเส้นทางการคมนาคมยังไม่ได้รับการพัฒนา ทางยังเป็นดินลูกรังสลับกับกรวดหิน เเละลาดชัน การได้ขับพี่ใหญ่อย่าง All New Nissan Terra ถือเป็นความโชคดีของเราเนื่องจากสภาพถนนที่เป็นออฟโรด การได้ขับรถ SUV สมรรถนะสูงบวกกับตัวถังบนแชสซีส์ออกแบบมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งสำหรับการขับขี่แบบสมบุกสมบันความเหนือชั้นของระบบกันสะเทือนหลังแบบ 5 ลิงค์ (5-Link) ที่ให้ความนุ่มนวลในระบบช่วงล่าง เเละขนาดของรถที่เป็นแบบ 7ที่นั่งด้วยเเล้วจึงทำให้การขับขี่เเละโดยสารใน All New Nissan Terra ได้รับความสะดวกสบายเเม้จะเป็นการขับขี่บนภูมิประเทศที่ทรุกันดาร

Terra

Terra

บนเส้นทางออฟโรดบนเทือกเขาตะนาวศรี ในเมียนมาร์แม้สมรรถนะของรถจะไม่เป็นอุปสรรคในการเดินทาง แต่ผู้ขับขี่ต้องคอยบังคับรถให้ขับไปตามไลน์ของพื้นที่ถนน ที่ลาดชันเเละต้องคอยหลบกรวดหินที่แหลมคม บวกกับสภาพเเวดล้อมบางช่วงไม่สามารถขับขี่รถได้เนื่องจากปริมาณฝุ่นที่หนาจนมองไม่เห็นทางข้างหน้าทำให้ต้องหมั่นจอดรอให้ฝุ่นเริ่มจางหายจึงสามารถขับไปได้ ระยะทางออฟโรดตลอดเส้นทางราวๆ 130 กม. คณะคาราวานใช้เวลาในการขับขี่ร่วม 5 ชั่วโมง เรียกได้ว่าหลายๆ คนตอนนี้ต่างคิดถึงพื้นถนนดำลาดยางเลียบๆ กันเเล้ว

Terra

All New Nissan Terra ใช้เครื่องยนต์ดีเซล YS23DDTT ทวินเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ DOHC ขนาด 2,298 ซีซี มาพร้อมหัวฉีดเชื้อเพลิงระบบไดเร็คอินเจคชัน ให้พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่งที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน จึงทำให้ขับเคลื่อนได้อย่างราบรื่นและทรงพลังเมื่อต้องการ, ระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 7 สปีด ที่มาพร้อมโหมดขับขี่แบบแมนนวล (M mode) ที่โดดเด่นด้านพละกำลัง, ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4×4 พร้อมระบบล็อกไฟฟ้าเพื่อการใช้งานที่แตกต่างตามสภาพพื้นผิวถนน ฟังก์ชั่น Shift-On-The-Fly ทำให้ผู้ขับสามารถเปลี่ยนจากการขับขี่แบบสองล้อหรือ Two-Wheel Drive (2H) เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อหรือ Four-Wheel Driver (4H) เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อเจอกับสภาพถนนที่เปียกลื่น นอกจากนี้ยังมีโหมดการขับขี่แบบความเร็วต่ำ Low Range Four-Wheel Drive (4LO) สำหรับการขับขี่บนพื้นทราย โคลน ลุยน้ำ ปีนขึ้นที่สูง หรือลงในเส้นทางลาดชัน

นอกจากสมรรถนะของขุมพลังเเล้วเทคโนโลยี Nissan Intelligent Mobility ใน All New Nissan Terra ยังมี
-เทคโนโลยี กระจกมองหลังอัจฉริยะ หรือ Intelligent Rear View Mirror (IRVM) หน้าจอ LCD ที่กระจกมองหลัง ในการแสดงภาพที่มาจากกล้องด้านหลังตัวรถ โดยภาพบนจอจะช่วยให้ผู้ขับขี่เห็นทัศนวิสัยด้านหลังได้ในมุมกว้าง
-เทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุ และบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน หรือ Moving Object Detection (MOD) เทคโนโลยี MOD จะตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนทุกครั้งเมื่อมีวัตถุหรือบุคคลที่เคลื่อนไหวอยู่ใกล้ตัวรถ
-เทคโนโลยีเตือนจุดบอดหรือจุดอับสายตาอัจฉริยะ หรือ Intelligent Blind Spot Intervention (IBSW)
-เทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทางอัจฉริยะ หรือ Intelligent Lane Intervention (ILDW)
เเละ เทคโนโลยี กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง หรือ Intelligent Around View Monitor (IAVM) ช่วยให้ผู้ขับสามารถมองเห็นสภาพรอบตัวยานพาหนะได้ทั่วทุกทิศทาง ด้วยการสร้างภาพมุมสูงแบบ ฺBird’s-Eye View รอบตัวรถ ที่เหมาะกับการขับขี่ในเส้นทางออฟโรดที่ทั้งเเคบเเละเต็มไปด้วยอุปสรรคมากที่สุด เพราะในบางช่วงที่ถนนมีพื้นที่เเคบเเละบังเอิญมีรถคนท้องถิ่นวิ่งสวนมา ก็ได้มองภาพจากมุมสูงทำให่การกะระยะของรถต่อภูมิประเทศทำได้ง่ายขึ้นเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่มากยิ่งขึ้น

วันแรกของการเดินทางจากกรุงเทพสู่เมืองทวายระยะทางทั้งสิ้น 415 กม.

เข้าสู่วันที่สองของกิจกรรมทดสอบการขับขี่ ลุยได้ทุกที่ Nissan Intelligent Driving Experience (N.I.D.E) ในวันนี้เส้นทางจะเป็นการวิ่งขึ้นไปทางทิศเหนือจากทวายผ่านเเลนด์มาร์กสำคัญๆ หลายสถานที่ตลอดการเดินทาง ก่อนจะสิ้นสุดที่เมือง สู่เมืองเมาะละเหม่ง (สามารถเรียกได้ทั้ง เมาะลำเลิง, เมาะลำไย เเต่ผู้เขียนชอบถนัดปากเรียกเมาะละเหม่งที่สุดละ) ภารกิจในวันนี้คือการนำ New Navara Black Edition ไปสสู่จุดหมายปลายทาง แต่ก่อนออกเดินทาง ทางคณะสื่อมวลชนทดสอบรถยนต์ได้เเวะสักการะวัดพระเจดีย์ ชเว ด่อง จา ในเมืองทวาย เอาฤกษ์เอาชัยเเละถือเป็นการลาจากที่สมบูรณ์แบบ

Nissan Navara

ก่อนจะวิ่งแบบซัดกันยาวๆ ขอเกริ่นถึง New Navara Black Edition กันสักหน่อยโดยขอเริ่มจากรูปลักษณ์ที่ล้ำสมัยทำให้รถดูสปอร์ต แข็งเเกร่ง ดุดันการตกแต่งภายนอกโทนสีดำ ด้วยชุดแต่งที่ให้ความดุดันรอบคันไฟหน้าแบบ LED สีดำ กระจังหน้าสีดำ กรอบไฟตัดหมอกสีดำ กระจกมองข้างและมือจับประตูสีดำ บันไดข้างสีดำ คิ้วล้อสีดำ กันชนหลังสีดำ และเสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ นอกจากนี้ยังมีการเลือกใช้สีส้มมาผสมผสานเพื่อเพิ่มสีสันในส่วนของกันชนไฟหน้า กระจกข้าง และบันไดข้าง รวมไปถึงสติกเกอร์สามมิติดีไซน์ใหม่

ภายในห้องโดยสารโอ่อ่านั่งสบาย แผงหน้าปัดดีไซน์หรู พวงมาลัยดีไซน์พรีเมียม พร้อมกับการใช้วัสดุแบบอลูมิเนียมในการตกแต่งคอนโซลกลาง และงานเย็บตะเข็บเบาะหนังอันประณีตเสริมด้วยสีสันการตกแต่งแบบทูโทน เบาะหนังสีดำพร้อมเดินตะเข็บเบาะและพวงมาลัยด้วยด้ายสีส้ม ในขณะที่หัวเกียร์และแผงประตูหุ้มด้วยหนังแท้

Nissan Navara

Nissan Navara

เส้นทางในการเดินทางวันที่สองเริ่มเป็นทางลาดยางกันเเล้วถนนหนทางเริ่มมีความเจริญขึ้นแตกต่างจากการเดินทางในวันแรกเเต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นสภาพพื้นถนนที่ดีมากนักเพราะเเม้จะเป็นทางถนนดำเเต่พื้นผิวก็ยังเป็นรอยคลื่นตลอดการเดินทางเเละภูมิประเทศในวันนีี้จะผ่านเส้นทางขึ้นเขาลงเขาราดชันหลายช่วงเพราะเป็นการขับขี่ข้ามเมืองกันแบบยาวๆ การได้ New Navara Black Edition ของกลุ่มเราทำให้หมดห่างเรื่องสมรรถนะ เนื่องจากขุมพลังที่ได้จากระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ช่วยเพิ่มพละกำลังของเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ที่ให้กำลังสูงสุดที่ 163 แรงม้า และให้แรงบิดสูงสุดที่ 403 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ ทำให้จังหวะขึ้นเขาหรือจังหวะที่ต้องการเร่งเเซงรถคันหน้า กระบะ New Navara Black Edition สามารถจัดการทุกสถานการณ์ได้อยู่หมัดเเบบไม่มีอะไรต้องลุ้นให้เหนื่อย ยังนึกเสียดายอยู่เหมือนกันว่าหากวันแรกได้มีโอกาสลองทดสอบขับกระบะอิดิชั่นคันนีี้หลังจากผ่านด่านตม. คงได้อารมณ์การขับขี่ที่เพลิดเพลินในแบบออฟโรดไม่น้อย

nissan intelligent mobility

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้การเดินทางอันยาวไกลของวันที่สองไม่รู้สึกเบื่อหน่ายก็คงต้องยกนิ้วให้กับระบบ นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี (Nissan Intelligent Mobility) อีกเช่นกัน แต่สำหรับใน New Navara Black Edition มีการเพิ่มฟังก์ชั่นของจาก NissanConnect ที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนรวมไปถึง ระบบแอพพลิเคชันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แอปเปิล คาร์เพลย์ (Apple CarPlay) หรือ แอนดรอยด์ ออโต้ (Android Auto) ให้ความบันเทิงตลอดการเดินทางเเละยังให้ความสะดวกสบายด้วยระบบนำทางจาก Google Maps ที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เราทราบได้ถึงภูมิประเทศ, เส้นทางการขับขี่เเละสภาพจราจรตลอดการเดินทาง

วันที่สองของการเดินทางจากทวายสู่เมาะละเหม่งระยะทางทั้งสิ้น 320 กม.

วันที่สามวันของการเดินทางกิจกรรม ลุยได้ทุกที่ Nissan Intelligent Driving Experience (N.I.D.E) เส้นทางวันนี้เป็นการออกเดินทางจาก เมาะละเหม่ง สู่นครย่างกุ้งเมืองหลวงเก่าของเมียนมาร์ แน่นอนว่าวันสุดท้ายรถที่จะได้สัมผัสก็เหลือเพียงเเค่ New Nissan X-Trail SUVเจเนอเรชันที่ 3 ที่ได้รับการปรับโฉมใหม่ จุดเด่นรูปลักษณ์ภายนอกของ New Nissan X-Trail อยู่ที่กระจังหน้ารูปตัววี หรือ V-Motion, ปรับกันชนด้านหลังใหม่ ให้โค้งรับและเข้ากันกับไฟท้ายทรงบูมเมอแรง รวมถึงบานจับประตูด้านข้างแบบเคลือบโครเมียม, ล้ออัลลอยใหม่ขนาด 19 นิ้ว สำหรับรุ่น 2.5VL 4WD, เเละสีตัวถังใหม่ สีส้ม โมนาร์ช (Monarch Orange)

nissan x trail

nissan x trail

ภายในห้องโดยสารเป็นที่นั่งในรูปแบบ 5+2 ที่นั่ง (ในรุ่น 2.5 ลิตร) และห้าที่นั่ง (ในรุ่นไฮบริด 2.0 ลิตร), ระบบเปิด-ปิดประตูท้ายอัตโนมัติด้วยระบบแฮนด์ฟรีสะดวกทุกการเดินทาง, พวงมาลัยใหม่ แบบ D-Shaped รูปทรงสปอร์ต, ที่นั่งแถว 2 สามารถแยกพับได้ 60:40 และที่นั่งแถว 3 แบบ 50:50 เเละไฮไลท์ของห้องโดยสารคือหลังคาแบบพาโนรามิกซันรูฟ

nissan x trail

ช่วงสายของวันที่สามคณะสื่อมวลชนทดสอบรถยนต์ออกเดินทางจากเมาะละเหม่งโดยขบวนวิ่งข้ามสะพานแม่น้ำสาละวินที่ทอดยาวสู่อีกฝั่งด้วยระยะทาง 3กม. ถือเป็นสะพานข้ามแม้่น้ำที่มีความยาวมากที่สุดในเมียนมาร์ ริมด้านซ้ายของสะพานเป็นรางรถไฟขนานคู่กับไปถนน โดยสะพานดังกล่าวเก็บค่าบริการผ่านทางรถยนต์ที่ต้องการใช้สัญจรยกเว้นคนเดินเท้าที่ไม่ต้องเสียค่าบริการ หลุดออกจากสะพานข้ามเเม่น้ำสาละวินก็ได้เวลาที่ต้องเดินทางกันต่อ เส้นทางในวันนี้ต้องบอกว่าดีที่สุดเท่าที่เจอในช่วงสองวันแรก ถนนลาดยาวตลอดเส้นทางนานๆ จะมีช่วงซ่อมเเซมพื้นผิวถนนบางช่วง แต่การขับขี่บนถนนดำด้วยรถSUV New Nissan X-Trail ต้องบอกว่าฟิลลิ่งทั้งการขับขี่หรือเเม้จะเป็นผู้โดยสารต่างรู้สึกได้ในแบบเดียวกันคือความสบายขณะอยู่ในห้องโดยสารเเละช่วงล่างที่นุ่มนั่งสบายตลอดการเดินทาง

nissan x trail

nissan x trail

New Nissan X-Trail ในการเดินทางครั้งนี้มีสองรุ่นทั้งแบบ X-Trail HEV ที่เป็นรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริดเเละแบบ X-Trail  2.5L  สำหรับในรุ่นหลังคือรถที่เราได้สัมผัสขุมพลังจากเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 171 แรงม้า แรงบิดสูงที่ 233 นิวตันเมตร มาพร้อมกับเกียร์ XTRONIC CVT เเละ ระบบ Manual Mode 7 สปีด ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมโรเตอร์สวิตช์ ของนิสสัน เอ็กซ์เทรล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยการขับขี่ทั้งออนโรดและออฟโรด ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับเคลื่อนได้ถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เพื่อประสิทธิภาพในการขับขี่สูงสุด ทั้งหมดนี้คือเทคโนโลยีการขับขี่เเละสมรรถนะของ New Nissan X-Trail ที่พาเรามาถึงจุดแลนด์มาร์คสำคัญในวันนี้คือ พระราชวังบุเรงนองเเละพระธาตุชเวมอดอที่เมืองพะโค

เมื่อเสร็จภารกิจเที่ยวชมสองสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในเมืองพะโคก็ได้เวลามุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติย่างกุ้งเพื่อเดินทางกลับประเทศไทย ระยะทางจากพะโคสู่อดีตเมืองหลวงของเมียนมาร์ถนนหนทางดีที่สุดเท่าที่เคยเจอในการเดินทางทั้งหมดสามวัน เนื่องจากทั้งสองเมืองเป็นเมืองใหญ่การคมนาคมจึงดีกว่าหลายๆ เมมืองที่ผ่านมา เมื่อขบวนของเราผหลุดออกจากย่านใจกลางเมืองที่จอเเจได้เเล้ว ก็ได้เวลาวิ่งกันยาวๆ ต่ออีกประมาณ 70กม. บนถนนทางด่วนมอเตอร์เวย์(มอเตอร์เวย์ที่พม่าอนุญาตให้มอเตอร์ไซค์สัญจรได้) เมื่อถนนเป็นใจระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (Intelligent Cruise Control – ICC) ของ New Nissan X-Trail  ซึ่งสามารถรักษาระยะห่างที่ปรับตั้งไว้กับรถคันหน้า ช่วยลดภาระของผู้ขับขี่ด้วยการไม่ต้องกำหนดความเร็วให้คงที่ แต่จะตรวจจับความเร็วในการเคลื่อนที่ของรถในขบวนโดยสามารถเร่งหรือลดความเร็วได้ตามสถานการณ์จึงถูกทดสอบการใช้งานเเละช่วยให้การขับขี่ได้รับความสะดงวกสบายมากยิ่งขึ้น

บททดสอบของ Nissan Navara, X-Trail, Terra  ในครั้งนี้ต้องบอกว่าเเต่ละคันจะมีเอกลักษณ์เเละคาเรกเตอร์ของรถที่แตกต่างเเละชัดเจนเเต่ถึงจะมีความแตกต่างหัวใจของรถยนต์ทั้งสามโมเดลคือเทคโนโลยี นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี (Nissan Intelligent Mobility) ที่ให้ความสะดวกสบาย ปลอดภัยมั่นใจทุกการเดินทางรวมถึงสมรรถนะในการขับขี่ของรถที่ผ่านอุปสรรคในแต่ะด่านที่เจอได้แบบหมดห่วง ตลอดระยะเวลาทั้งสามวันกับระยะทางรวม 1,030 กม. ความรู้สึกตื่นเต้นอยู่ที่การได้ลองขับโมเดลที่ไม่ซ้ำกันของแต่ละวัน เพื่อจับจุดเด่นของรถยนต์ทั้งสาม แม้การขับขี่ในเมียนมาร์จะเต็มไปด้วยอุปสรรคทั้งเรื่องพื้นถนน, ภูมิประเทศที่ไม่คุ้นเคย, การสัญจรที่ขับเลนขวาที่ยากต่อการเเซง เหล่านี้ Nissan Navara, X-Trail, Terra เอาตัวรอดได้อย่่างสบาย

จุดเด่นของรถยนต์ทั้งสามรุ่นในฟิลลิ่งส่วนตัวของผู้เขียนคือ Nissan Navara เเข็งแกร่งดุดัน พร้อมลุยทุกสภาวะการขับขี่เเละรูปลักษณ์ที่เท่กว่า ขณะที่ X-Trail คือคอมแพ็ค SUV ที่ขับในเมืองก็ได้ขับทางไกลออกต่างจังหวัดก็ดี หรือจะเอาลุยทางออฟโรดหน่อยๆ แบบไม่โหดนักก็ตอบโจทย์ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ขณะที่พี่ใหญ่ SUV อย่าง Terra ก็เหมาะกับการขับขี่สำหรับผู้ที่มีครอบครัวขนาดใหญ่ สมบุกสมบันเเต่ยังให้ความสบายที่ลงตัวระบบความอำนวยความสะดวกเเละความปลอดภัยมาเต็ม ย้อนกลับไปในวันแรกของการเดินทางที่ต้องลุยผ่านเส้นทางออฟโรดกว่าร้อยกิโล ณ สถานการณ์ตอนนั้นคิดแต่อยากผ่านจุดนั้นไปให้ได้ เเต่เมื่อผ่านมาเเล้ว ก็อยากจะลองนำรถยนต์อีกสองรุ่น ( Navara, X-Trail) กลับไปลุยเส้นทางนั้นอีกครั้ง