หลังจากที่เปิดตัวที่ประเทศไทยช่วงปลายปี 61 ที่ผ่านสำหรับ New Mitsubishi Triton เเละได้เปืดให้สื่อมวลชนได้ทดสอบสมรรถนะในเส้นทาง ออฟโรด ที่ถูกเซ็ตขึ้นมาแบบพอหอมปากหอมคอ ล่าสุดทาง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จัดกิจกรรมให้สื่อมวลชนได้สัมผัสความแกร่งของ New Mitsubishi Triton แต่ครั้งนี้ต้องบอกเลยว่าของจริง ลุยจริง เต็มรูปแบบบนเส้นทางทั้งในแบบ ออนโรด เเละ ออฟโรด กับทริปพิชิตยอด ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ให้สมกับรถกระบะที่มาในคอนเซ็ปต์ “แกร่ง ลุยทุกอุปสรรค”
ก่อนจะขึ้นขับ New Mitsubishi Triton สู่ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย เรามาย้อนความทรงจำกันหน่อยถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่การมาในแบบ All New ในครั้งนี้ได้ยังคงใช้ดีไซน์ใหม่ทีเป็นเอกลักษณ์กับ Advanced Dynamic Shield ที่ให้อารมณ์ล้ำสมัยทรงพลัง แข็งแกร่งดุจหินผา ด้วยไฟหน้า Bi-LED พร้อมไฟให้ความสว่างเวลากลางวัน LED ขณะที่ไฟท้ายก็ได้รับการปรับดีไซน์ใหม่เช่นเดียวกัน ไฟท้ายเเละไฟเบรกแบบ LED เเละ LED Light Guide เเละสปอยเลอร์หลัง ล้ออัลลอยทูโทนขนาด 18นิ้ว เเละกระจกมองข้างแบบไฟฟ้าพร้อมระบบไล่ฝ้า
อัลบั้มภาพ 2 ภาพ
ภายในห้องโดยสารได้รับการปรับดีไซน์ใหม่เช่นกันในโทนสีดำ คอนโซลหน้าปรับใหม่, ฐานเกียร์ดีไซน์ใหม่, ติดตั้งระบบหมุนเวียนอากาศสำหรับผู้โดยสารที่นั่งตอนหลังสามารถปรับความแรงเเละทิศทางของลมได้, พอร์ต USB สองตำแหน่งเเละช่องวางสมาร์ทโฟนบริเวณด้านหลังคอนโซลกลาง เเละจอน้าปัดเเสดงข้อมูลแบบสีพร้อม 3D อะนิเมชั่นเเละสวิตช์จอเเสดงข้อมูลในการขับขี่ที่พวงมาลัย
ขณะที่ระบบความปลอดภัย New Mitsubishi Triton ใส่มาให้แบบครบครันเรียกว่าให้ความมั่นใจในการขับขี่ทุกเส้นทางเริ่มจาก ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตาพร้อมระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน, ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงเเละรวดเร็ว, ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด, ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว, กล้องมองภาพรอบคัน, ปรับระดับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ, เปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ,ถุงลมนิรภัย 7ตำแหน่ง, เข็ดขัดนิรภัยคู่หน้า 3จุด 2ที่นั่งปรับระดับได้ พร้อมดึงกลับอัตโนมัติ 2ทิศทาง, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวเเละระบบป้องกันล้อหมุนฟรีเเละควบคุมการลื่นไถลเเละรบบเสริมเเรงเบรก
นอกจากนี้ระบบการขับเคลื่อนเป็นแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Super Select 4WD II มาพร้อม 4 โหมดการขับขี่ ได้แก่ Gravel, Mud/Snow, Sand และ Rock เเละโหมดระบบขับเคลื่อน 2H ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2WD High-Range) โหมด 4H (4WD High-Range) ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full-Time All Wheel Control โหมด 4HLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วสูง (4WD High-Range with Locked Transfer) และ โหมด 4LLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วต่ำ (4WD Low-Range with Locked Transfer) เเละระบบล๊อคเฟืองท้ายหลัง (Rear Differential Lock), ระบบควบคุมรถลงทางลาดชันเเละระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชันซึ่งระบบเหล่านี้รวมถึงระบบความปลอดภัยบางระบบจะถูกนำไปใช้ในการทดสอบการขับขี่ในครั้งนี้อย่างแน่นอน
- ระบบขับเคลื่อน 2ล้อ 2H เหมาะกับการขับขี่บนสภาพถนนปกติให้อัตราเร่งที่ดี ประหยัดน้ำมัน เพราะกำลังเครื่องยนต์ทั้งหมด 100% จะถูกส่งไปยังล้อคู่หลังเท่านั้น
- ระบบขับเคลื่อน 4ล้อ 4H ทำงานแบบ Full-Time All Wheel Control เหมาะกับถนนเปียกลื่นที่ใช้ความเร็วระบบส่งกำลังถ่ายทอดกำลังเครื่องยนต์ไปยังล้อหน้า 40% เเละล้อหลัง 60%บนถนนแห้ง เเละล้อหน้า 50% ล้อหลัง 50% เมื่อถนนเปียกลื่น
- 4HLc ระบบส่งกำลังถ่ายทอดกำลังเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้ง 4 ส่งไปยังล้อหน้า 50% เเละล้อหลัง 50% เท่ากันตลอดเวลาเหมาะสำหรับสภาพพื้นขรุขระ แต่ยังสามารถใช้ความเร็วได้รวมถึงเส้นทางลืื่นไถล
- 4LLc ระบบส่งกำลังถ่ายทอดกำลังไปยังล้อทั้ง 4 ทำงานร่วมกับระบบล๊อคเฟืองท้ายหลังคบคุมระบบด้วยไฟฟ้า ในการส่งกำลังในอัตราส่วนล้อหน้า 50% ล้อหลัง 50% เเละเกียร์ส่งกำลังจะเพิ่มอัตราทดให้สูงขึ้นช่วยทำให้กำลังการขับเคลื่อนมากขึ้นเหมาะสำหรับสภาพเส้นทางวิบาก ลุยโคลน เนินสลับหินเเละมีความลาดชันมากๆ
อัลบั้มภาพ 2 ภาพ
เพราะหลังจากที่สื่อมวลชนกรุ๊ปทดสอบขับขี่ New Mitsubishi Triton พ้นเขตอำเภอหางดงที่เป็นถนนหลวงทางราบ เข้าสู่เส้นทางอำเภอจอมทองซึ่งมีจุดหมายเป็นโครงการหลวงดอยอินทนนท์รออยู่ข้างหน้าเส้นทางตอนนี้เริ่มขึ้นเขาเเล้ว ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์คลีนดีเซลรหัส 4N15 บล็อก 4 สูบ MIVEC VG Turbo 2.4 ลิตร บล็อกอลูมิเนียม ขนาด 4 สูบ พละกำลังสูงสุด 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาทีแรงบิด 430 นิวตันเมตรที่ 2,500 รอบต่อนาที ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 18 นิ้ว ด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดใหม่ ทางลาดชันที่ว่าโหดของดอยอินทนนท์ New Mitsubishi Triton สามารถผ่านเส้นทางอันคดเคี้ยวลาดชันแบบไม่ต้องรีดเค้นอะไรมากมายให้คนขับรู้สึกเหนื่อย
ขณะเดียวกันหากต้องการเพิ่มความสนุกขณะในการขับขี่สามารถปรับระบบขับเคลื่อนมาที่ 4H เเละเลื่อนเกียร์มาที่ M เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ด้วยตัวเองเเละถ้าจะให้สะดวกยิ่งขึ้นก็ใช้ Paddle Shift ด้านหลังพวงมาลัยในการเปลี่ยนเกียร์รถ ด้วยเส้นทางเป็นทางลาดชันเเละโค้งหักซอกส่วนใหญ่ตำแหน่งเกียร์ที่ใช้จะอยู่แถวๆ เกียร์ 2,3 การปรับตำแหน่งเกียร์ด้วย Paddle Shift ยิ่งเพื่อความสะดวกง่าย เเละสนุกกับการขับขี่มากขึ้น
เสร็จจากโครงการหลวงดอยอินทนนท์เส้นทางต่อไปถือเป็นไฮไลท์ของทริปกับการตะลุยเส้นทางออฟโรดที่ทางเข้าหน่วยจัดการต้นน้ำเเม่จอนหลวงช่วงนี้ต้องบอกเลยว่าเส้นทางโหดเอาเรื่องเพราะนอกจากจะเป็นทาดินลูกรังเเล้ว ความสูงชันเเละบวกเนินเเละขรุขระเป็นอุปสรรคที่ต้องฝ่าฟัน เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงคราวที่ต้องปรับมาใช้โหมด 4HLc (การใช้ระบบขับเคลื่อน 4HLc เเละ 4LLc ต้องจอดรถให้นิ่งก่อนเเละเข้าตำแหน่งเกียร์ว่างจากนั้นกดที่สวิตช์ปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนลงเล็กน้อยบิดไปทางขวาเพื่อเลือกใช้) ผ่านเส้นทางออฟโรดไปอย่างช้าๆ ก็ถึงคิวที่ได้ลองระบบ Hill Descent Control เนื่องจากทางเริ่มลาดชันลงเขาระบบดังกล่าวเพิ่มความมั่นใจให้กับการลดเนินทางลาดดินลูกรัง ขณะที่โหมดการขับขี่ Mud เเละ Sand มีการเปิดใช้สลับไปมาตามแต่สภาพพื้นถนนที่ขับผ่าน
อัลบั้มภาพ 2 ภาพ
เจอทางลาดออฟโรดว่าโหดเเล้วด่านต่อไปอีกราวๆสิบกม. ต่อมาเส้นทางเริ่มเเคบลงจะเกือบจะเท่ากับขนาดความกว้างของรถหนึ่งคันพื้นที่ว่างซ้ายขวาของรถเมื่อผ่านทางเหลือประมาณฟุตเดียวเท่านั้น การประคองรถให้ไปตามเส้นทางจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากสภาพพื้นผิวถนนยังคงเป็นดินลูกรังออฟโรดสลับเนินลาดชันขึ้นลงตลอดเวลา แต่ New Mitsubishi Triton ก็มีระบบที่ตอบโจทย์กับอุปสรรคดังกล่าวด้วย Multi Around Mornitor กล้องมองภาพรอบคันเเสดงผลที่จอกลางให้ภาพในมุมสูง Bird’s Eye View จึงทำให้เห็นรถเเละสิ่งเเวดล้อมโดยรอบขณะที่รถกำลังขับผ่าน จึงทำให้ควบคุมรถผ่านเส้นทางที่คับเเคบแบบกระจกมองข้างไม่สะกิดเข้ากับสิ่งเเวดล้อมสองข้างทาง นอกจากนี้ระบบ Multi Around Mornitor ยังมีประโยชน์ให้ความสะดวกสบายในการจอดรถอีกด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่ประทับใจต่อ New Mitsubishi Triton คือระบบช่วงล่างที่ปรับมาได้นุ่มขึ้นเเม้จะเป็นรถกระบะออฟโรด แต่ช่วงล่างที่ถูกออกแบบมาใหม่ด้วยการปรับค่าสปริงทำให้ลดความมกระด้างของช่วงล่างได้ดีขึ้น โช๊คอัพหลังถูกออกแบบใหม่มีขนาดใหญ่ขึ้นจากรุ่นเดิม จาก 42.7มม. เป็น 45มม. ช่วยให้รถมีความนุ่มนวลนั่งสบายเเละเกาะถนนดียิ่งขึ้น
สรุปแบบจับใจความหลังจากที่ได้ขับ New Mitsubishi Triton มาตลอดทั้งวันบวกกับเส้นทางที่ไม่ธรรมดาทางออนโรด Triton คือรถกระบะที่ขับสนุกในเมืองด้วยขนาดของรถไม่ได้ลดทอนความคล่่องตัวรวมถึงวิสัยทัศน์การมองจากในรถดี ยิ่งเป็นการขับขี่บนทางลาดชันขึ้นเขาขุมพลังก็มีมาให้แบบเหลือๆ ไม่ต้องกดรีดเค้นแต่อย่างใด จังหวะตามหลังรถบรรทุกเเละต้องการเเซงอย่างฉับไวเพื่อกลับเข้าสู่เลนอัตราเร่งก็มาตามสั่ง ด้านเส้นทางการขับขี่แบบออฟโรด Triton สามารถฝ่าข้ามอุปสรรคยากๆ ไปได้เรียกว่าเอาตัวรอดไปได้แบบไม่ต้องลุ้นเหนื่อย สำหรับคนที่กำลังมองหารถกระบะที่ครบเครื่องแบบขับเคลื่อนสี่ล้อในราคาเริ่มต้น 9เเสนนิดๆ รุ่นDouble Cab GLS New Mitsubishi Triton น่าจะเป็นคำตอบที่ลงตัวไม่ยาก หรือหากจะข้ามไปเล่นตัวท็อปที่ฟังค์ชั่นมากขึ้นราคาก็จะเขยิบขึ้นมาที่รุ่น Double Cab GT-P เกียร์ MT ราคา 1.04ล้านบาท ขณะที่รุ่น GT-P เกียร์ AT ราคาที่ 1.09ล้านบาท ในส่วนรุนเริ่มต้นราคาอยู่ระหว่าง 5.24 – 9.83 แสนบาท