บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด มุ่งมั่นนำเสนอยนตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าทุกท่าน เปิดตัวรถยนต์ ปลั๊กอินไฮบริด เจนเนอเรชั่นที่ 3 ภายใต้แบรนด์ EQ อย่าง “Mercedes-Benz S 560 e” ซาลูนหรูรุ่นประกอบในประเทศที่สามารถขับเคลื่อนโดยใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลกว่าเจนเนอเรชั่นที่แล้วสูงสุดถึง 60% จากการผสานกำลังของเครื่องยนต์เบนซินวี 6 ที่มีกำลัง 367 แรงม้า (270 กิโลวัตต์) และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบอีคิวพาวเวอร์ที่ให้กำลัง 90 กิโลวัตต์ พร้อมด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบผสมที่ต่ำกว่า 50 กรัมต่อกิโลเมตร โดยภายในงานยังมีการขนทัพยนตรกรรมหรูกว่า 29 คัน ครบครันในทุกเซ็กเมนต์มาจัดแสดงภายในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 40” ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม ถึง 7 เมษายน 2562 นี้ ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี
ดีไซน์ภายนอกของ The S 560 e AMG Premium หรูหราทันสมัยด้วยกระจังหน้าแบบ 3 ก้าน มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED เทคโนโลยีขั้นสูงที่ช่วยให้ทัศนวิสัยการขับขี่ยามค่ำคืนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด พร้อมฟังก์ชัน ULTRA RANGE Highbeam ที่สามารถปรับความสว่างและความยาวของลำแสงไฟหน้าให้ส่องได้ไกลกว่า 650 เมตรโดยอัตโนมัติ พร้อมเสริมความสปอร์ตยิ่งขึ้น ด้วยกันชนหน้า-หลังและสเกิร์ตข้างจาก AMG และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ Multi-spoke ขนาด 20 นิ้ว สีไทเทเนี่ยมเกรย์
ดีไซน์ภายในและห้องโดยสาร มอบที่สุดแห่งความสะดวกสบาย ด้วยระบบ ENERGIZING Comfort Control เทคโนโลยีที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายร่างกายและอารมณ์ในระหว่างการเดินทางเพียงแค่การ ‘กดปุ่ม’ เพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบฉีดน้ำหอม ระบบฟอกอากาศ ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Premium Ambient Light) เสียงดนตรี ฟังก์ชันระบายอากาศและอุ่นที่นั่ง พร้อมระบบนวดสำหรับเบาะคู่หลัง โดยผู้โดยสารสามารถเลือกโปรแกรมผ่อนคลายได้ 4 แบบ คือ Refresh, Vitality, Warmth และ Joy โดย The S 560 e AMG Premium จะมาพร้อมกับเบาะนั่งคู่หน้าและคู่หลังหุ้มหนัง Exclusive nappa ที่สามารถปรับเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังฝั่งซ้ายให้เอนนอนได้ถึง 43.5 องศา พร้อม
ที่รองขาแบบปรับระดับได้ ระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up display) ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย พร้อม Apple Carplay™ และ Android Auto
สำหรับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย อาทิ
- ระบบ Active Distance Assist DISTRONIC ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า ทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ที่ติดตั้งบริเวณกระจังหน้า และกล้อง STEREO CAMERA ที่ติดตั้งอยู่บนกระจกบังลมหน้า ในการคำนวณระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถ คันหน้าที่สัมพันธ์กับความเร็วของรถในขณะนั้นโดยการเพิ่มและลดความเร็วของรถโดยอัตโนมัติ
- ระบบ Active Blind Spot Assist เทคโนโลยีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการชนกับรถยนต์หรือจักรยานยนต์ที่อยู่ในจุดอับสายตาในขณะที่กำลังจะเปลี่ยนช่องจราจร
- ระบบ Active Lane Keeping Assist ระบบที่ช่วยลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนช่องจราจรโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งระบบนี้จะทำงานโดยการใช้สัญญาณเรดาร์ ในการตรวจจับช่องจราจรและรถยนต์ที่อยู่ในช่องจราจรอื่น หากระบบตรวจพบความเสี่ยงที่จะชนกับรถยนต์คันอื่น ระบบจะช่วยดึงรถกลับเข้าสู่ช่องจราจรเดิมโดยอัตโนมัติด้วยการเบรกล้อฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับรถยนต์ที่ตรวจจับได้
- ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® PLUS ระบบนี้ทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ตรวจจับรถที่วิ่งอยู่ด้านหลัง หากเรดาร์ตรวจพบรถยนต์จากด้านหลังที่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ ไฟกะพริบฉุกเฉินจะกะพริบด้วยความถี่ที่มากกว่าปกติเพื่อเตือนผู้ขับขี่รถคันหลัง หลังจากนั้นระบบจะรัดเข็มขัดให้กระชับขึ้น ระบบเบรกจะล็อคล้อทั้งสี่ไว้ให้อยู่กับที่ พร้อมปรับพนักพิงศีรษะให้ชิดกับศีรษะ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บบริเวณต้นคอ หากมีการชนท้ายเกิดขึ้น
- ระบบ Active Braking Assist และฟังก์ชัน Cross-Traffic เทคโนโลยีที่ช่วยหลีกเลี่ยงการชนกับรถยนต์คันอื่น หรือคนเดินถนนในบริเวณทางแยก โดยสัญญาณเรดาร์ที่ติดอยู่บริเวณกันชนด้านหน้า และกล้อง MPC จะตรวจจับเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการชน และจะส่งเสียงเตือนคุณให้เบรก หากคุณตอบสนอง ระบบจะช่วยเพิ่มกำลังเบรกไปจนเต็มประสิทธิภาพ แต่หากไม่มีการตอบสนอง ระบบจะช่วยเบรกอัตโนมัติตามแต่ละสถานการณ์ นอกจากนี้ในกรณีที่ระบบไม่สามารถหลบหลีกวัตถุด้านหน้าได้ทัน
ระบบจะช่วยลดความเร็วลง เพื่อช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ - ระบบ Evasive Steering Assist ระบบช่วยหลบหลีกการชนจากด้านหน้า โดยสัญญาณเรดาร์และกล้อง STEREO CAMERA ของรถยนต์จะช่วยตรวจจับคนและสิ่งของที่จะก่อให้เกิดอันตราย โดยระบบจะเตือนให้คุณตอบสนองและหักหลบสิ่งกีดขวางด้วยตนเองเท่านั้น พร้อมช่วยส่งแรงบิดที่เหมาะสมในการหักหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบ Active Emergency Stop Assist ในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่มีการตอบสนองต่อการขับขี่เป็นเวลานาน เช่น คนขับหลับในหรือหมดสติ และระบบตรวจจับได้ว่าไม่มีการเคลื่อนไหวของพวงมาลัยเลย ระบบจะส่งสัญญาณเตือนเพื่อให้ผู้ขับขี่กลับมาประคองพวงมาลัยรถ แต่ถ้ายังไม่มีการตอบสนองจากผู้ขับขี่ ระบบจะค่อยๆ หยุดรถอัตโนมัติในช่องจราจรนั้น พร้อมกับเปิดระบบไฟกระพริบฉุกเฉิน
- ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist) ทั้งการจอดแบบขนานและการจอดแบบเข้าซอง โดยกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง
360 องศา จะแสดงภาพบริเวณรอบคันรถในจอแสดงผล รวมถึงภาพจากมุมสูง จึงช่วยให้เห็นสิ่งกีดขวางรอบคันรถ ทั้งนี้ระบบจะส่งสัญญาณเตือนทั้งภาพและเสียง ในขณะที่กำลังจอดรถด้วยความเร็วไม่เกิน 10 กม./ชม. โดยเป็นการประสานการทำงานของระบบ Active Steering ระบบ Speed Control และระบบเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ แม้ในที่จำกัดหรือในกรณีที่ต้องขยับรถหลายครั้ง พร้อมเพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยระบบ
Drive Away Assist ที่ส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจจับความเสี่ยงต่อการชนในขณะที่เหยียบคันเร่งหรือเบรกสลับกัน หรือเมื่อผู้ขับขี่เข้าเกียร์ไม่ถูกต้อง
Mercedes-Benz S-Class ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่ประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ระยะทางสูงสุดสำหรับการขับขี่โดยใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเพิ่มขึ้นจากเจนเนอเรชั่นก่อนหน้าได้สูงสุดถึง 60% เมอร์เซเดส-เบนซ์ใช้เซลล์แบตเตอรี่รุ่นใหม่ซึ่งเป็นส่วนผสมของลิเธียม-นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (Li NMC) ทั้งนี้ ระบบแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ตระกูลเอส-คลาสรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ผลิตโดยบริษัทดอยช์ แอกคิวโมทีฟ (DeutscheACCUMOTIVE) บริษัทลูกของกลุ่มบริษัทเดมเลอร์ทั้งหมด
โดยขนาดของแบตเตอรี่นั้นมีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้าและประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิมประมาณร้อยละ 50 หากใช้เครื่องประจุไฟฟ้าวอลล์บอกซ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์และใช้กำลังไฟฟ้าสูงสุด ผู้เป็นเจ้าของจะประจุไฟฟ้าจากความจุร้อยละ 10 จนเต็มได้ในเวลาประมาณ 90 นาที (ในสภาวะปกติ) และประมาณ 5 ชั่วโมงหากประจุไฟฟ้าโดยใช้กำลังไฟฟ้าจากเต้ารับทั่วไปตามบ้านMercedes-Benz S 560 e AMG Premium มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบใหม่ (9G-TRONIC) ที่ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงลงกว่าเดิมถึง 6.5% อีกทั้งยังช่วยให้การขับเคลื่อนมีความนุ่มนวลมากขึ้น ลดเสียงรบกวนได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้สามารถลดระดับเกียร์ลงได้หลายระดับในกรณีที่ต้องการเร่งแซงอย่างรวดเร็ว โดย S 560 e นั้น สามารถรักษาระดับของระบบช่วงล่างให้มีความสมดุลย์ได้ตลอดการเดินทางแม้ว่าจะมีผู้โดยสารหรือสัมภาระจำนวนมาก เนื่องจากรถยนต์รุ่นนี้มีระบบปรับระดับช่วงล่างที่ทำงานโดยใช้กลไกการอัดหรือระบายอากาศ ทั้งนี้ ระบบสามารถยกความสูงของตัวรถเพิ่มได้ 30 มิลลิเมตร เพื่อให้ตัวรถสูงพ้นจากพื้นถนนมากเพียงพอ และเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ระบบจะปรับลดความสูงของตัวรถลง 20 มิลลิเมตรโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้รถลู่ลมยิ่งขึ้นและเสริมเสถียรภาพในการขับขี่
The S 560 e AMG Premium รุ่นประกอบในประเทศ ราคา 6,999,000 บาท