รถยนต์ SUV ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของผู้คนทั่วโลก ด้วยความหรูหราระดับเฟิร์สคลาสที่มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ในทุกสภาวะ ยากจะหารถยนต์เปรียบเทียบได้กับรูปแบบดีไซน์โดดเด่นทั้งภายในและภายนอก ที่มุ่งเน้นให้ความสะดวกสบายกับผู้ขับขี่ในขณะที่ประสิทธิภาพและสมรรถนะของรถเป็นไปตามที่คาดหวัง การออกแบบที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเกือบครึ่งศตวรรษเพื่อก้าวขึ้นสู่ระดับต้นๆของ รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ แบบ 4×4
การออกแบบภายนอกกับฝากระโปรงหน้ารูปเปลือกหอย มุมมองด้านข้างที่เผยให้เห็นหลังคาลอยแยกส่วนจากตัวถัง ตลอดจนเส้นสายขอบกระจกข้างประตูที่ยกสูงอย่างโดดเด่นอันเป็นสัญลักษณ์ทางการค้าของ New Range Rover ที่คงอยู่มาอย่างยาวนาน การผสมผสานความหรูหราและเทคโนโลยียานยนต์อันทันสมัยได้อย่างลงตัว เข้ากันกับชิ้นส่วนตกแต่งภายใน ด้วยวัสดุที่เน้นความเป็นธรรมชาติเพื่อมอบความสะดวกสบายอันทันสมัยและความหรูหราเหนือกาลเวลาให้แก่ผู้ขับขี่ นอกจากภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกอันเคร่งขรึมเยือกเย็นแบบทรงพลัง New Range Rover ยังมีจุดเด่นในเรื่องความชาญฉลาดของพื้นที่จัดเก็บภายในห้องโดยสาร ด้วยการปรับเปลี่ยนที่นั่งด้านหลังให้เป็นพื้นที่บรรจุสัมภาระด้วยฝาปิดแบบแยกส่วน รวมทั้งฐานล้อที่ยาวเป็นพิเศษทำให้เพิ่มพื้นที่ใช้งาน ตอกย้ำคุณสมบัติความเป็นสุดยอดรถยนต์ SUV ของ Range Rover อย่างชัดเจน อีกทั้งยังเป็นรถยนต์ที่สนับสนุนแนวคิดการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืนด้วยระบบขับเคลื่อนจากพลังงานไฟฟ้า
New Range Rover มาพร้อมกันกับเครื่องยนต์ P400e ระบบไฟฟ้าปลั๊กอิน-ไฮบริด (Plug-In Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ตัวแรกจากแลนด์โรเวอร์ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยการขับเคลื่อนแบบไร้มลพิษเมื่อขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้าทั้งหมดในระยะ 51 กิโลเมตร
P400e ของ New Range Rover ได้รับการพัฒนาจากการผสานเครื่องยนต์เบนซิน Ingenium สี่กระบอกสูบ 300PS กับมอเตอร์ไฟฟ้า 116PS เทคโนโลยีในการดัดแปลงนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 13.1 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่ให้กำลังไฟ 404PS ในระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ (4WD) ซึ่งให้ผลลัพธ์ทรงประสิทธิภาพที่น่าทึ่ง โดยสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 6.8 วินาทีเท่านั้น แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 640 นิวตันเมตร มีอัตราปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 64 กรัมต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงอยู่ที่ 2.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีระบบอัจฉริยะในการกักเก็บพลังงานระหว่างการเบรคช่วยในการรีชาร์ตแบตเตอรี่ อีกทั้งยังสามารถใช้งานเครื่องยนต์เบนซิน Ingenium (Parallel Hybrid mode) ควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า (Electric Vehicle mode: EV) ได้ในระบบการขับขี่แบบสองโหมด โดยการเปลี่ยนผ่านระหว่างแหล่งพลังงานขับเคลื่อนทั้งสองโหมดจะเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ของ Range Rover ทำให้ประสิทธิภาพและสมรรถนะการขับขี่ของรถยนต์รวมทั้งความสะดวกสบายหรูหราคงอยู่ควบคู่ไปกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพื่อการขับขี่ให้ได้ระยะทางที่ไกลขึ้น เช่น การขับขี่ในเมืองที่จราจรติดขัดและใช้ความเร็วไม่มากนัก ผู้ขับขี่สามารถใช้พลังงานจากระบบไฟฟ้า (EV) เพียงอย่างเดียวเพื่อประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง
การชาร์ตแบตเตอรี่ของ Range Rover P400e สามารถทำได้สะดวกจากระบบไฟฟ้าปกติในครัวเรือน โดยใช้เวลาในการชาร์ตไฟเต็มอยู่ที่ 7 ชั่วโมง 50 นาที เทียบเท่ากับการชาร์ตเพียงข้ามคืน แต่หากชาร์ตผ่าน AC wall boxes หรือ สถานีบริการชาร์ตรถยนต์ไฟฟ้าจะใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง 45 นาที ผู้ขับขี่สามารถ ตรวจสอบระยะเวลาในการชาร์ตแบตเตอรี่ได้จากระบบอินโฟเทนเมนท์ภายในห้องโดยสารเพื่อเลือกรูปแบบการชาร์ตแบตเตอรี่ที่เหมาะสมกับเวลาและประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งยังสามารถเช็คระดับของการชาร์ตแบตเตอรี่ได้จากแถบส่องสว่างด้านข้างของเต้าเสียบไฟฟ้า สัญญาณไฟสีขาวแสดงถึงระบบชาร์จกำลังเชื่อมต่ออยู่และการชาร์จยังไม่เริ่มต้น ส่วนสัญญาณไฟสีฟ้าจะแสดงระยะเวลาในการชาร์จ ซึ่งเมื่อการชาร์จแบตเตอรี่เริ่มต้นสัญญาณไฟสีเขียวจะกะพริบและหยุดนิ่งเมื่อแบตเตอรี่ถูกชาร์จไฟเต็มแล้ว
เรนจ์ โรเวอร์ ปลั๊กอิน-ไฮบริด 2.0 ลิตร รุ่น Vogue SWB ราคาจำหน่าย 8,999,000 บาท
เรนจ์ โรเวอร์ ดีเซล 3.0 ลิตร รุ่น Vogue SWB ราคาจำหน่าย 11,999,000 บาท
เรนจ์ โรเวอร์ ปลั๊กอิน-ไฮบริด 2.0 ลิตร รุ่น Autobiography LWB ราคาจำหน่าย 9,999,000 บาท
เรนจ์ โรเวอร์ ดีเซล 4.4 ลิตร รุ่น Autobiography LWB ราคาจำหน่าย 16,999,000 บาท