นับเป็นเวลาครบขวบปีเเล้วนับตั้งแต่มีการเปิดตัว Ford Ranger Raptor รถกระบะ สายพันธุ์แกร่งในประเทศไทยที่หลายคนต่างรู้จักดีถึงดีกรีที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะการขับขี่เเละเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่่มากกว่าเมื่อเทียบกับรถกระบะรุ่นอื่นๆ จนถึงตอนนี้หากพูดถึง กระบะออฟโรด สายลุยหลายคนต้องนึกถึง Ford Ranger Raptor ขึ้นมาเป็นอันดับแรก เเละหลังจากที่ ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้มีประสบการณ์การขับขี่ Ford Ranger Raptor ไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมาที่เขาใหญ่ มาวันนี้ auto.MThai มีโอกาสได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ที่กระตุ้นอะดรีนาลีนของการขับรถ ออฟโรด ให้สูบฉีบอีกครั้งกับกิจกรรม Ford Ranger Raptor – The Mysterious Journey เส้นทาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี-พังงา-ภูเก็ต
กิจกรรมในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำถึงสมรรถนะการขับขี่เเละเทคโนโลยี ต่างๆ ใน Ford Ranger Raptor ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นกว่าครั้งเเรกตลอดเส้นทางบนชายฝั่งทะเลอันดามัน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางภูเขาหินปูนที่สูงชันท่ามกลางธรรมชาติป่าอันอุดมสมบูรณ์สองข้างทางหรือทางลูกรังที่เต็มไปด้วยกรวดหินดินทราย, ชายหาดทะเลที่สวยงาม เหมืองดีบุกเก่าที่กลายสภาพเป็นแกรนด์เเคนยอน เเละที่ขาดไม่ได้กับการทดสอบสมรรถนะช่วงล่างระบบกันกระเเทกในการเหินเวหา ทั้งหมดนี่คือการขับขี่บนเส้นทางออฟโรดด้วยระบบ Terrain Management System (TMS) ตลอดระยะเวลา 3วัน 2คืน
ก่อนอื่นเรามาทบทวนความจำเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปกันก่อน Ford Ranger Raptor มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2.0 ลิตร แบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด เทคโนโลยีล่าสุด มอบพละกำลัง 213 แรงม้าและแรงบิด 500 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งที่ดีขึ้น และการเปลี่ยนเกียร์ที่ฉับไวกว่าที่เคย พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Terrain Management System (TMS) ลุยทุกเส้นทางหฤโหด รวมถึงระบบกันสะเทือนที่มาพร้อมโช๊ค FOX Shock ที่ช่วยซับแรงกระแทกในการขับขี่ทางวิบาก เเละล้ออัลลอยดำ 17 นิ้ว ยาง All Terrain BF Goodrich
ขณะที่ระบบ Terrain Management System (TMS) ที่มีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 6โหมดดังต่อไปนี้
Normal – โหมดการขับขี่ออนโรดปกติใช้งานทั่วไป สามารถใช้ได้ทั้งระบบขัับเคลื่อน 2H 4H 4L
-เหมาะสำหรัการขับขี่ในชีวิตประจำวันให้ความสมดุลของการขับในความตื่นเต้น ความนุ่มนวลเเละความสะดวกสบายในการขับขขี่อย่างลงตัว, ประหยัดน้ำมันพวงมาลัยไฟฟ้าอยู่ในโหมด Normal
Sport – ใช้สำหรับการขับขี่ที่ต้องการความเร็วสูง สามารถใช้ได้ในระบบขับเคลื่อน 2H
-เหมาะสำหรับการขับบนถนนแบบใช้ความเร็วสูง ให้ฟิลลิ่งการขัขี่ที่สนุก เพิ่มการตอบสนองของคันเร่งเเละพวงมาลัยมีความรู้สึกสปอร์ตมากขึ้น, ระบบเกียร์จะเปลี่ยนเกียร์เเละค้างรอบเครื่องที่สูงขึ้นเพื่อช่วยให้เครื่องตอบสนองได้เร็วกว่าเดิม พวงมาลัยอยู่ในโหมด Sport
Rock – ใช้กับการภูเขาลาดชัน, ใช้เกียร์ต่ำ ใช้ได้กับการขับเคลื่อน 4L เท่านั้น
-เหมาะกับการขับปีนป่ายหินที่ความเร็วต่ำระบบป้องกันล้อหมุนฟรีเเละระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวจะถูกปิดเเละเน้นการควบคุมรถให้ขัเคลื่อนอย่างช้าๆ เพื่อเพิ่มการควบคุมประสิทธิภาพในการควบคุมรถในการปีนหินได้ดีขึ้น ระบบขับเคลื่อนจะถูกปรับการทำงานเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่งเกียร์ 1 เท่านั้นขณะที่พวงมาลัยอยู่ในโหมด Comfort
Grass/Gravel/Snow – ขับขี่บนทางออฟโรดที่มีผิวลื่นใช้กับ 4H เท่านั้น
-เหมาะกับการขับบนทางที่มีพื้นผิวลื่น เช่นมีหญ้า กรวด หรือหิมะปกคลุมนพื้นผิวถนน ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีเพิ่มการทำงานไวขึ้นเพื่อเพิ่มการเกาะถนนทุกความเร็วเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการขับบนพื้นผิวที่ลื่่น ขณะที่ระบบเกียร์จะเปลี่ยนอย่างนุ่มนวลที่รอบเครื่องต่ำลง คันเร่งมีการตอบสนองที่ช้าลง พวงมาลัยทดการทำงานมาที่โหมด Normal
Sand/Mud – เหมาะกับการขับขี่บนพื้นที่ลื่นไถลและขรุขระ เน้นเกียร์ต่ำใช้ได้กับการขับเคลื่อน 4H 4L
เหมาะกับการขับออฟโรดในเส้นทาวที่พื้นผิวที่หน่วงล้อหรือขับข้ามสิ่งกีดขวาง, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีมีความไวน้อยลงเเละถูกปรับให้รถรักษาโมเมนตัมขณะขับ, เกียร์เปลี่ยนที่รอบเครื่องที่สูงขึ้นเพื่อรักษาแรงบิดที่สูงไปที่ล้อในการขับเคลื่อน, พวงมาลัยไฟฟ้าอยู่ในโหมด Comfort
Baja – สำหรับการขับด้วยความเร็วสูงบนผิวออฟโรด ใช้กับ 2H 4H 4L
-เหมาะกับการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูงเพิ่มความสนุกตื่นเต้น, การทำงานของระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกลดการทำงานลงเพื่อให้เครื่องทำงานได้ประสิทธิภาพสูงสุด เกียร์จะเปลี่ยนที่รอบสูงกว่าปกติเเละค้างรอบเครื่องไว้นานขึ้นเพื่อให้ได้กำลังเครื่องสูงสุด พวงมาลัยถูกทดในโหมด Comfort เพื่อง่ายต่อการควบคุม
Day 1
บททดสอบแรกเริ่มขึ้นที่การเดินทางจากสนามบินสุราษฎร์ธานี ไปยัง ภูตาจอ ยอดเขาที่สูงที่สุดของ จ.พังงา โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ จุดชมวิวที่อยู่บนระดับความสูงกว่าน้ำทะเลเกือบ 1,300 เมตร ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถมองเห็นวิวทะเลอันดามันได้รอบ 360 องศา แต่กว่าจะขึ้นไปสูงยอดเขาได้นั้นการเดินทางเรียกว่าทุลักทุเลเนื่องจากเส้นทางในอุทยานแห่งชาติ ภูตาจอ เป็นทางลาดชันที้่สูงสภาพพื้นผิวเป็นดินลูกรังผสมกรวด บางช่วงเป็นทางน้ำลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน ถือเป็นเส้นทางที่ท้าทายต่อการขับออฟโรดเเม้ว่าสภาพเส้นทางดูลำบากเอาเรื่อง
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ
แต่ด้วยโหมด ระบบ 4×4 Terrain Management System (TMS) ใน Ford Ranger Raptor ตั้งแต่ โหมดหญ้า/กรวดหิน (Grass/Gravel) ที่ถูกใช้บ่อยที่สุด สลับการ โหมดหิน (Rock) พร้อมระบบขับเคลื่อน 4×4 Low ทำให้ทุกการปีนป่ายทางที่สูงลาดชันช้าๆ แต่ดูมั่นคงดูเป็นเรื่องไม่ยากเกินไปที่จะเดินทางสู่ยอดเขา
เเละเนื่องจากการขับขี่อยู่ในสภาพเเวดล้อมหุบเขาสลับเหมืองเก่าเป็นระยะทางยาวร่วมสิบกิโลเมตรระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Launch Assist (HLA) และระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา Hill Descent Control (HDC) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการขับขี่ช่วงขึ้นลงทางชัน ทำให้การเดินทางออฟโรดเป็นเรื่องง่ายขึ้น
จากนั้นคณะสื่อมวลชนเเละ Ford Ranger Raptor ทั้ง 10 คันเดินทางด้วยเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากจากท่าเรือบ้านน้ำเค็มสู่ เกาะคอเขา ก่อนจะจบกิจกรรมการขับขี่ในวันแรกด้วยการทดสอบระบบ Sand/Mud ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 4H ขับขี่บริเวณริมชายหาดชมเเสงสุดท้ายก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินโดย Ford ได้รับอนุญาตจากเอกชนผู้ถือกรรมสิทธิ์พื้นที่หาดแห่งนี้ในการจัดกิจกรรม พื้นที่ดังกล่าวจะกลับสู่สภาพเดิมในไม่ช้า โดยเราได้เตรียมความพร้อมและระมัดระวังในทุกขั้นตอนเพื่อให้แน่ใจว่าการจัดกิจกรรมนี้ไม่เป็นการรบกวนสิ่งมีชีวิตใดๆ ระหว่างการขับขี่
Day 2
ไฮไลท์ของวันที่ 2 ในการเดินทาง Ford Ranger Raptor – The Mysterious Journey อยู่ที่การทดสอบระบบ Terrain Management System (TMS) ในโหมดการขับขี่ออฟโรดสุดท้าทายในโหมด BAJA โดยสถานที่สนามครอสคันทรี่ในอดีตมีเรื่องเล่าว่าสถานที่แห่งนี้คือสนามบินเก่าเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สองโดยกองทัพญี่ปุ่นใช้เป็๋นที่รำเรียงกำลังคนเเละเสบียง เส้นทางก่อนจะไปถึงสนามเราต้องเจอกับทางที่เป็นกรวดกันก่อนโหมด Grass/Gravel/Snow จึงได้ถูกใช้งานเพื่อทดสอบสมรรถนะการขับขี่แบบพอหอมปากหอมคอ
อัลบั้มภาพ 1 ภาพ
ในสนามครอสคันทรี่เราจะทดสอบการขับขี่ในโหมดการขับขี่ออฟโรดความเร็วสูงหรือ BAJA โดยตอนออกตัวจะใช้ระบบขับเคลื่อน 2H ก่อนในช่วงเเรก ก่อนจะปรับมาใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 4H เพื่่อให้เห็นถึงความแตกต่างของการขับขี่จากระบบขับเคลื่อนทั้งสองเมื่อขับรถผ่านเส้นทางออฟโรดที่ทางทีมงานได้เซ็ทไว้ให้ก็ถึงเวลาตั้งลำ Ford Ranger Raptor ให้ตรงก่อนจะคิกดาวน์เร่งสปีดในระยะ 200 เมตร ให้ความเร็วเฉลี่ยที่ 100 กม/ชม. เพื่อกระโดดข้ามเนินดินเป็นการทดสอบระบช่วงล่างโช้คอัพคู่ด้านหน้าและหลังของ FOX Shock ที่รับเเรงกระเเทกโดยไม่เสียการทรงตัวเมื่อรถถึงพื้น
ต่อด้วยการทดสอบการขับขี่บริเวณเเนวต้นสนริมชายหาดซึ่งเป็นร่องน้ำธรรมชาติที่เเห้งขอดอยู่เเล้วโดยจะเป็นการขับ Ford Ranger Raptor ขึ้นลงเนินร่องตัว V สลับไปมาตามไลน์ที่ทีมงานกำหนด 3 ด่าน โดยการขับลงสลับขึ้นร่องน้ำตัว V ใน Ford Ranger Raptor ยังมีระบบ Diff Lock ระบบจะล๊อกเฟืองท้ายไม่ให้ล้อฟรี หากต้องการใช้งานเพียงแค่กดปุ่ม Diff Lock ค้างไว้ ไฟการทำงานของ Diff Lock จะขึ้นที่หน้าปัด(รูปกากบาทที่สองล้อหลัง) เเสดงถึงสถานะพร้อมการทำงาน จากนั้นค่อยๆ เติมคันเร่งในกรณีที่รถติดร้อง ติดไลน์หรือเริ่มติดหล่มเมื่อระบบ Diff Lock ทำงาน เเรงบิดของเครื่องยนต์จะส่งกำลังไปที่ล้อไม่ให้เกิดอาการล้อฟรี เพียงแค่นี้รถก็สามารถขึ้นจากหล่มได้ ในโหมด Diff Lock สามารถใช้ได้ทั้งในระบบขับสองเเละขับสี่
อัลบั้มภาพ 1 ภาพ
พ้นจากร่อง V ก็ถึงการแทร็คทรายริมหาดที่เป็นร่องค่อนข้างลึกอีกเช่นกันต่างจากหาดทรายในวันแรกที่เรียบเนียบ ระยะการขับขี่ของร่องทรายริมหาดประมาณ 500เมตร ซึ่งการขับลักษณะนี้หากระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเอาไม่อยู่เนื่องจากติดร่องทราย ระบบ Diff Lock ก็เป็นทางออกที่ทำให้หลุดออกมาได้
Day 3
การเดินจากจากท่าเรือบ้านน้ำเค็มข้ามเรือเฟอร์รี่พังงา สู่ภูเก็ต วันสุดท้ายของกิจกรรมก่อนเดินทางสู่สนามบินนานาชาติภูเก็ตยังมีทดสอบการขับขี่ Ford Ranger Raptor แบบเบาๆ ด้วยการเดินทางสู่ กะปง แกรนด์ แคนยอน เหมืองแร่ดีบุกเก่าที่ถูกธรรมชาติรังสรรค์ให้มีสภาพเป็นภูเขาหินสูงต่ำสลับกันพื้นผิวเป็นกรวดทราย ระบบ Terrain Management System (TMS) โหมดการขับขี่โคลน/ทราย จึงถูกนำมาใช้อีกครั้งเป็นการทิ้งทวน
ก่อนจากขอทิ้งท้ายแบบไม่เข้าข้างใครว่า Ford Ranger Raptor คือกระบะออฟโรดเปี่ยมด้วยศักยภาพเพอร์ฟอร์แมนซ์ทุกการขับขี่เเละเทคโนโลยี ยากที่กระบะทั่วไปในตลาดรถกระบะบ้านเราตอนนี้จะเทียบเคียงในเรื่องสมรรถนะได้ ด้วยสภาพภูมิประเทศการขับขี่ตลอดกิจกรรมในแต่ละสถานที่ที่ยากลำบาก หากเป็นรถกระบะรุ่นอื่นทั่วไปคิดว่าไม่น่าจะรอดมาถึงวันสุดท้ายของกิจกรรมได้ เหมือนกับที่ได้กล่าวไปในตอนต้นเเล้วว่าการหวนกลับมาทดสอบการขับขี่ Ford Ranger Raptor ในครั้งนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำที่ชัดเจนว่า Ford Ranger Raptor คือกระบะครบเครื่องตัวจริงวิ่งแบบหล่อๆ ได้ดีทั้งบนทางถนนดำเเละออฟโรด!!