บี เอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทุบสถิติยอดขายครบสามแบรนด์ พร้อมครองอันดับหนึ่งของโลกอีกครั้งด้วยอัตราการเติบโตสูงสุดในเครือข่าย BMW ทั่วโลกสองปีซ้อน
บี เอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สร้างสถิติใหม่ด้วยอัตราการเติบโตปีต่อปีของรถยนต์ BMW ที่ 20% ซึ่งนับเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในเครือข่าย BMW ทั่วโลก ถึงสองปีซ้อน นอกจากนี้ BMW MINI และ BMW Motorrad ยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์ด้วยยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใน ประเทศไทย ความสำเร็จทั้งหมดนี้ช่วยให้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มียอดส่งมอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ในระดับหลักหมื่นติดต่อกันเป็นปีที่สอง พร้อมเดินหน้าสานต่อความสำเร็จตลอดปี 2562 ด้วยทัพยนตรกรรมพรีเมียมในหลากหลายเซกเมนต์ และนวัตกรรมแห่งอนาคตที่ตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างรอบด้าน ทั้งประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ สายการผลิตที่เปี่ยมประสิทธิภาพ และบริการแบบครบวงจร พร้อมสร้างประโยชน์อันยั่งยืนและคุณค่าให้แก่สังคมผ่านกิจกรรมและโครงการที่ หลากหลาย
มร. คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยว่า “ความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีในตัวเราคืออีกมาตรวัดความสำเร็จที่สำคัญ โดยในปี 2561 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้รับเลือกให้เป็นบริษัทรถยนต์อันดับหนึ่งในการสำรวจ Thailand’s Most Admired Company 2018 โดยนิตยสารแบรนด์เอจ ด้วยคะแนนที่ยอดเยี่ยมในด้านนวัตกรรม ภาพลักษณ์แบรนด์ ความสำเร็จทางธุรกิจ และความรับผิดชอบต่อสังคม แน่นอนว่าในปี 2562 นี้ เราจะเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จในทุกด้าน เริ่มต้นจากการเปิดตัวรถยนต์และมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ๆ มากมายเพื่อตอบสนองทุกความต้องการด้านการขับขี่ ดังจะเห็นได้จากการเผยโฉม BMW Series 3 ใหม่ BMW Z4 ใหม่ หรือมอเตอร์ไซค์ BMW C 400 GT ในวันนี้ ไปจนถึงการนำเทคโนโลยีล้ำยุคอย่าง 3D Printing มาเพิ่มทางเลือกใน การผลิต ปรับแต่งรถยนต์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น และการเริ่มดำเนินงานสายการประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูง เพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดให้ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยได้ทันท่วงที”
สำหรับความสำเร็จด้านนวัตกรรม บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้เปิดตัวเทคโนโลยี BMW ConnectedDrive บริการและแอปพลิเคชั่นเฉพาะบุคคล ให้ผู้ขับรถยนต์ BMW ได้เพลิดเพลิน กับฟีเจอร์ผู้ช่วยในการขับขี่ ข้อมูลและความบันเทิง รวมถึงการสัญจร เพื่อความสะดวกสบายและ ความปลอดภัยระดับพรีเมียม เมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา นับเป็นการมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อแบบ ครบวงจรผ่านแพลตฟอร์ม Open Mobility Cloud ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ดิจิตอลเข้ากับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูได้แบบไร้สาย ไม่ว่าจะด้วย iPhone หรือ Apple Watch
Microsoft Azure ระบบคลาวด์อัจฉริยะที่มาพร้อมความปลอดภัยระดับโลก ช่วยให้ BMW ConnectedDrive สามารถวิเคราะห์และเรียนรู้จากข้อมูลปริมาณมหาศาลที่บันทึกจากการขับขี่รถยนต์ BMW โดยระบบ Open Mobility Cloud ของ BMW ได้เลือกใช้แพลตฟอร์ม Microsoft Azure เป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาบริการอัจฉริยะ เพื่อส่งเสริมให้เกิดประสบการณ์การขับขี่รูปแบบใหม่มากมาย ที่ไม่เพียงเชื่อมโยงตัวรถเข้ากับสมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคอนเทนต์และระบบเครือข่ายอีกมากมายจากภายนอก
ฟีเจอร์พื้นฐานของ BMW ConnectedDrive ประกอบด้วย BMW Teleservices บริการ ที่ช่วยจัดการ นัดหมายอัตโนมัติผ่านการแชร์ข้อมูลของรถยนต์กับศูนย์บริการ BMW ที่ลูกค้าเลือกไว้วางใจ หรือผู้ขับขี่สามารถติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของ BMW ด้วย ตนเองผ่าน BMW Teleservice Call เพื่อนัดหมายการรับบริการล่วงหน้าได้อีกด้วย
ส่วนในภาคการผลิต เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมสำหรับยนตรกรรมไฟฟ้าแห่งอนาคต บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จะเริ่มต้นเดินหน้าประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูง (High-Voltage Battery – HVB) ณ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ชลบุรี 2 ภายในปีนี้ โดยได้วางรากฐานเชิงทักษะสำหรับพนักงานไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อเดือน กันยายน 2561 เป็นต้นมา
ความ มุ่งมั่นในการสรรค์สร้างนวัตกรรมเพื่อโลกยานยนต์ของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ไม่ได้หยุดเพียงแค่การพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและการยกระดับสายการผลิต เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วยการมอบประสบการณ์พิเศษสุดในทุกด้านและทุกช่องทางให้กับลูกค้า นับตั้งแต่โปรแกรม The Ultimate JOY Experience ที่เตรียมก้าวขึ้นสู่ปีที่ 3 อย่างยิ่งใหญ่ด้วยหลากหลายกิจกรรมที่จะมาสร้างความสุขให้กับเจ้าของรถยนต์ BMW กันอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ไปจนถึงการขยายช่องทางและรูปแบบการเข้ารับบริการจากเครือข่ายผู้จำหน่าย อย่างเป็นทางการในประเทศไทยให้หลากหลายและตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว บีเอ็มดับเบิลยู สตูดิโอ ที่นำบริการระดับพรีเมียมเข้ามาใกล้ชิดลูกค้ามากขึ้นในห้างสรรพสินค้า หรือการเปิด เออร์เบิน สโตร์ แห่งใหม่ เพื่อมอบประสบการณ์สไตล์โชว์รูมเต็มรูปแบบที่ผสมผสานด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคและพื้นที่รับรอลูกค้าสุดหรู ขณะที่แนวคิด บีเอ็มดับเบิลยู เซอร์วิส เอาท์เล็ท เน้นขยายศักยภาพด้านบริการหลังการขายให้ครบเครื่องและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เช่น ลูกค้าสามารถใช้บริการ Online Booking เพื่อนัดหมายบริการล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์ www.bmw.co.th ได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็ว พร้อมความสะดวกสบายที่เหนือชั้นด้วยการบริการ Fastlane ที่ใช้เวลาในการตรวจซ่อมบำรุงรถยนต์จากช่างผู้ชำนาญการเพียงแค่ 90 นาที
ทางด้าน BMW Motorrad ก็ได้ร่วมยกระดับบริการหลังการขายให้ลูกค้าในปีนี้ด้วยการเป็นผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์เจ้าแรกในประเทศไทยที่มอบโปรแกรมการรับประกัน BMW Motorrad Warranty เพิ่มเป็น 3 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ให้กับมอเตอร์ไซค์ BMW Motorrad รุ่นใหม่ทุกรุ่นที่ส่งมอบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 โดยครอบคลุมถึงบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มความอุ่นใจในทุกเส้นทางการขับขี่อย่างเหนือระดับ
มร. คริสเตียน กล่าวว่า “ประสบการณ์ระดับพรีเมียมที่เรามอบให้กับลูกค้าไม่ได้สิ้นสุดอยู่เพียงแค่บน ท้องถนนและเครือข่ายผู้จำหน่ายของเราเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการสื่อสารผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างครบเครื่องของทั้งสาม แบรนด์ ทั้งทาง Facebook Instagram และ YouTube โดยนอกจากการอัพเดทความเคลื่อนไหวล่าสุดในประเทศไทยของแต่ละแบรนด์ให้ลูกค้าและแฟนๆ ได้ติดตามกันแล้ว เรายังมีแชนเนล BMW JOY TV ที่มอบคอนเทนต์แบบวาไรตี้ครบครันสำหรับคอ BMW ตัวจริง นับตั้งแต่ไฮไลท์กิจกรรมพิเศษล่าสุดจากโปรแกรม The Ultimate JOY Experience ไปจนถึงแนะนำการใช้งาน ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดในรถยนต์รุ่นต่างๆ ขณะที่ทางฝั่ง MINI ก็ได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเปิดจองรถยนต์รุ่นพิเศษผ่านช่องทางดิจิทัล เท่านั้น เช่นในกรณีของ MINI Cooper S Hatch Ice Blue Edition เมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งสร้างกระแสตอบรับในกลุ่มแฟน MINI ชาวไทยได้ไม่น้อย”
อีกหนึ่งความสำเร็จยิ่งใหญ่ในปีที่ผ่านมาคือ ความสำเร็จทางธุรกิจ โดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทำยอดขายรถยนต์ BMW ได้เป็นสถิติใหม่ที่ 12,036 คัน ซึ่งสูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 20% และ ยังนับเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในเครือข่ายของ BMW ทั่วโลก เป็นปีที่สองติดต่อกัน ขณะที่มินิและ BMW Motorrad มียอดการส่งมอบรถตลอดปีสูงเป็นสถิติใหม่เช่นกันที่ 1,051 คัน (เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อนหน้า) และ 2,154 คัน (เพิ่มขึ้น 8%) ตามลำดับ
ส่วนในระดับโลก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำระดับโลกในตลาดรถยนต์หรูไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์ BMW MINI และ Rolls-Royce รวมกว่า 2,490,664 คัน ซึ่งถือเป็นการสร้างสถิติสูงสุดเป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน โดยทั้ง BMW และ Rolls-Royce ต่างทำยอดขายได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ขณะที่ยอดการส่งมอบรถยนต์ของทั้งสามแบรนด์ในเดือนมกราคม 2562 รวม 170,463 คัน ก็ถือเป็นการเปิดฉากศักราชใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป
มร. คริสเตียน เน้นย้ำว่า “จุดยืน ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทั้งบนเวทีโลกและในประเทศไทย คือการขับเคลื่อนโลกยานยนต์ไปสู่อนาคตที่ดีกว่า ด้วยแนวคิดที่สร้างสรรค์ แตกต่าง และยั่งยืนในทุกมิติ นอกจากความสำเร็จของเราในด้านยอดการส่งมอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์แล้ว อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ยืนยันถึงความสำเร็จของเราก็คือ ยอดการส่งมอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 38.4% ทั่วโลก ขณะที่ยอดขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของเราในประเทศไทยก็พุ่งสูงขึ้นถึง 122% ในปีที่ผ่านมา”
“ส่วนในกลุ่มนักขับตัวจริงที่หลงใหลในสมรรถนะและความแม่นยำขณะขับขี่ เราก็ได้เห็นกระแสตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากยอดขายรถยนต์ในตระกูล M ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 105% ความ สำเร็จในส่วนนี้เป็นเครื่องยืนยันว่ากลยุทธ์การทำตลาดรถยนต์นำเข้าของเรามี ความแข็งแกร่งไม่แพ้แผนงานการทำตลาดรถยนต์รุ่นประกอบในประเทศ และเราก็พร้อมที่จะต่อยอดความสำเร็จในกลุ่มรถยนต์นำเข้าต่อไปด้วยการเปิดตัว รถยนต์รุ่นใหม่ๆ เช่น BMW Serirs 3 ใหม่และ BMW Z4 ใหม่ ซึ่งเป็นรุ่นนำเข้าทั้งสองรุ่น ด้วยข้อเสนอพิเศษสุดมากมายตลอดปี 2562 นี้” มร. คริสเตียน กล่าวเสริม
นอกจากความสำเร็จทางยอดขาย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นสร้างประโยชน์อันยั่งยืนและร่วมสร้างคุณค่าให้แก่สังคมผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการ แคร์ ฟอร์ วอเตอร์ อันเป็นความร่วมมือระหว่างบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และองค์กรไม่แสวงหากำไรสัญชาติอเมริกา Waves For Water ซึ่งร่วมกันทำพันธกิจในการสร้างโอกาสให้ชุมชนในพื้นที่ห่าง ไกลสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดได้อย่างยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขอนามัย พร้อมส่งเสริมให้ชาวบ้านเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงประโยชน์ของน้ำสะอาด ตลอดระยะเวลาของการดำเนินโครงการกว่า 3 ปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ได้ร่วมกันส่งมอบเครื่องกรองน้ำกว่า 5,020 ชุด ให้แก่ 60 ชุมชน ที่ขาดแคลนน้ำสะอาดในประเทศไทย ครอบคลุมชาวบ้านกว่า 502,000 คน ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มุ่งที่จะส่งมอบเครื่องกรองน้ำให้ได้รวม 6,520 ชุดภายในสิ้นปีนี้ และ 9,520 ชุดภายในสิ้นปี 2564
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยยังมุ่งหวังที่จะช่วยยกระดับสังคมด้วยการศึกษาผ่านโครงการ BMW Service Apprentice Program ซึ่งริเริ่มโดย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ร่วมกับหอการค้าเยอรมัน-ไทย และผู้จำหน่าย BMW อย่างเป็นทางการ เมื่อปี พ.ศ. 2555 เพื่ออบรมความรู้ด้านทฤษฎี และฝึกฝนทักษะในสายงานด้านช่างเทคนิคให้แก่นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงงานฝีมือที่เปี่ยมด้วยทักษะและความสามารถระดับ สูง และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้านศูนย์กลางการผลิตยนตรกรรมระดับ โลก
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย สานต่อพันธกิจสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคและบุคลากรคุณภาพ
หลังจากที่ได้ฉลองการประกอบรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ครบ 100,000 คันไปเมื่อปีที่ผ่านมา โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จังหวัดระยอง ยังคงเดินหน้ายกระดับศักยภาพอย่างต่อเนื่องในทุกด้าน ภายใต้กลยุทธ์ที่มุ่งเสริมความแข็งแกร่งของทรัพยากรบุคคล พร้อมปูรากฐานอันแข็งแกร่งด้วยการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาปรับใช้อย่างต่อ เนื่อง โดยมีการลงทุนเพิ่มในปี 2561 เป็นจำนวนกว่า 816 ล้านบาท ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนรวมของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย มีมูลค่ารวมกว่า 5.47 พันล้านบาท
การนำนวัตกรรมล้ำยุคอย่าง Additive Manufacturing หรือ การพิมพ์แบบสามมิติ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสายการผลิตที่โรงงานแห่งนี้ ถือเป็นการยกระดับเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นในระดับบุคคล ด้วยชิ้นส่วนที่ผลิตขึ้นตามดีไซน์ของลูกค้าจากเครื่องพิมพ์ สามมิติจำนวน 5 เครื่องในสายการผลิต โดยเริ่มต้นจากการประทับชื่อรุ่น ‘OXFORD’ บนบริเวณกรอบไฟเลี้ยวด้านข้างของรถยนต์ MINI Oxford Edition เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก่อนจะมาถึงการผลิตกรอบไฟเลี้ยวในดีไซน์พิเศษเฉพาะตัวของเจ้าของรถแต่ละคนในรถยนต์ MINI Ice Blue Edition ที่เปิดให้ลูกค้าสามารถเลือกสี ดีไซน์ และตัวอักษรได้ด้วยตัวเอง เสริมสร้างให้ตัวรถมีเอกลักษณ์แตกต่างมากยิ่งขึ้น
นอกจาก นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จะมุ่งสานต่อวิสัยทัศน์แห่งความยั่งยืนด้วยการเริ่มต้นเดินหน้าประกอบ แบตเตอรี่แรงดันสูง (High-Voltage Battery – HVB) ภายใต้ความร่วมมือกับแดร็คเซิลไมเออร์ กรุ๊ป ผู้นำด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก โดยนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2561 เป็นต้นมา พนักงานของแดร็คเซิลไมเออร์ได้เข้าร่วมการอบรมพิเศษที่โรงงานบีเอ็มดับเบิล ยู กรุ๊ป ในเมืองดิงกอลฟิง ประเทศเยอรมนี เพื่อวางรากฐานเชิงทักษะสำหรับการประกอบแบตเตอรี่ดังกล่าว ก่อนที่จะเริ่มต้นสายการประกอบอย่างเป็นทางการ ณ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ชลบุรี 2 ในปีนี้
มร. อูเว่ ควาส กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยกับอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเสริมศักยภาพการผลิตของ เราให้พร้อมสำหรับทุกแนวโน้มในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มความต้องการยานยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นทั้ง ในประเทศไทยและทั่วโลก หรือศักยภาพในการปรับแต่งรถยนต์แต่ละคันให้สะท้อนถึงตัวตนของผู้ขับขี่อย่าง มีสไตล์ ความสำเร็จครั้งนี้ยังถือเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่โรงงานในจังหวัด ระยอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการประกอบรถยนต์ในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในด้านการประกอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดทั้ง 2 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น BMW 530e หรือ BMW 740Le ทั้งนี้ เรายังได้เริ่มนำนวัตกรรมอื่นๆ มาเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพการปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์และรถยนต์ไร้คนขับ (AMV) เทคโนโลยีสแกนเนอร์ 3 มิติสำหรับวางผังโรงงาน หรือแม้แต่การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาผสานกับสายการประกอบรถยนต์โดยตรง”
ปัจจุบัน โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ได้รับความไว้วางใจให้ดำเนินการประกอบรถยนต์ BMW ยูและมอเตอร์ ไซค์ BMW Motorrad ถึง 12 รุ่น เช่น BMW Series 3 Gran Turismo BMW Series 5 BMW Series 7 BMW X1 และล่าสุดกับ BMW X3 อันถือเป็นการตอกย้ำศักยภาพในภาคการผลิตที่แข็งแกร่งของประเทศไทย และสะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดรถยนต์พรีเมียมในระดับภูมิภาค
ในส่วนของการลงทุนด้านทรัพยากรบุคคล โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จะยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดย มร. อูเว่ กล่าวว่า “โครงการการศึกษาระบบทวิภาคีที่มุ่งเน้นการสร้างเสริมความรู้ความสามารถในด้านวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ (Mechatronics) นั้น ริเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ภายใต้ความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดาและวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ เพื่อมอบประสบการณ์จากการฝึกปฏิบัติงานจริงกับช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญ โดยหากผ่านการทดลองปฏิบัติงานในระหว่างที่ร่วมโครงการ พวกเขาจะได้รับโอกาสในการเข้าทำงานกับผู้จำหน่าย BMW อย่างเป็น ทางการ โครงการนี้ถือเป็นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย ในอนาคต ซึ่งจะเสริมศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของภูมิภาค อาเซียนต่อไป”
เพื่อ สนับสนุนให้นักศึกษาได้เรียนรู้เชิงลึกทางเทคนิคผ่านโอกาสในการสัมผัส นวัตกรรมระดับโลก ทางโครงการได้คัดเลือกนักศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดาและวิทยาลัยเทคนิค สัตหีบ ให้ไปทัศนศึกษายังถิ่นกำเนิดของรถยนต์ BMW ในประเทศเยอรมนีเมื่อ เดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็ม นักศึกษาทุกคนได้ร่วมพูดคุย สัมผัส และแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการขนส่ง เช่นรถลำเลียงสินค้าอัตโนมัติ (Automated Guided Vehicle – AGV) กับนักศึกษาวิชาชีพชาวเยอรมัน รวมถึงได้ร่วมทัวร์โรงงานของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในเมืองเบอร์ลินอีกด้วย
“ตลอด ระยะเวลา 5 เดือนแรกของผมกับ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ผมมีความประทับใจในความร่วมแรงร่วมใจของทีมงานทุกฝ่ายที่ได้ช่วยขับเคลื่อน การเติบโตของโรงงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการขยายสายการผลิต การเติบโตของยอดการส่งออก และจำนวนผู้มาเยี่ยมชมโรงงานทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และผมก็มั่นใจว่าปี 2562 นี้ จะเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความสำเร็จของเราในการส่งมอบยนตรกรรมเหนือระดับอัน เปี่ยมด้วยคุณภาพ ที่ขับเคลื่อนให้เราสามารถก้าวข้ามทุกขีดจำกัดและยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ ไทยให้ทัดเทียมระดับสากล” มร. อูเว่ กล่าวสรุป
บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ต่อยอดความสำเร็จ ชูยอดลูกค้าสินเชื่อใหม่สูงเป็นประวัติการณ์
บี เอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ประสบความสำเร็จอีกครั้งในปี 2561 ที่ผ่านมา ด้วยยอดสินเชื่อลูกค้าใหม่ที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท รวมกว่า 1.59 หมื่นล้านบาท
มร. บียอร์น แอนทอนส์สัน ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย กล่าวว่า “เรา ยังคงทำงานประสานกับทุกฝ่ายในบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยและเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างใกล้ชิด เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในทุกก้าว นับตั้งแต่ตัดสินใจเลือกเป็นเจ้าของรถยนต์ BMW การเติบโตของฐานลูกค้าใหม่ที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมาได้ช่วยเพิ่ม มูลค่าสินเชื่อรวมในพอร์ตของเราเป็น 4.64 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่เช่นกัน ส่วนการเปิดตัวช่องทางสื่อสารกับลูกค้าผ่านไลน์ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งบริการที่สะท้อนถึงความตั้งใจของเราในการตอบสนองความต้องการ และมอบความสะดวกที่เหนือกว่าให้กับลูกค้า”
“ปี 2561 ที่ผ่านมายังเป็นอีกหนึ่งปีสำคัญสำหรับบริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินล่าสุดของเราอย่าง BMW FREEDOM CHOICE และ MINI FREEDOM CHOICE ที่ เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ BMW หรือ MINI ในรูปแบบ ใหม่ที่ช่วยการันตีมูลค่าของตัวรถในอนาคต พร้อมเสนอทางเลือกเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาสัญญา ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเป็นเจ้าของรถยนต์คันนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ หรือการเริ่มต้นสัญญาใหม่สำหรับรถยนต์ BMW หรือ MINI คันใหม่” มร. บียอร์น กล่าวสรุป