ใครที่อยู่ใน กทม. และปริมณฑล ในช่วงนี้ก็คงได้รับผลกระทบจาก หมอกควัน ที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศกันไม่มากก็น้อย ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าไม่มีการใส่หน้ากากป้องกัน ก็สามารถส่งผลทางตรงกับระบบทางเดินหายใจได้มากเลยทีเดียว ไม่จบเพียงเท่านั้นนอกจากจะส่งผลกระทบกับทางร่างกายแล้ว ยังจะทำให้ วิสัยทัศน์ในการขับขี่ บนท้องถนนแย่อีกด้วย ดังนั้นการขับขี่รถจึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยเช่นกัน ทีมงาน Auto MThai จึงมี ข้อควรปฏิบัติ และ เทคนิคการขับรถ ผ่านหมอกควันมาฝากกัน
- หลีกเลี่ยงการใช้ความเร็ว ไม่ควรขับขี่รถด้วยความเร็ว เนื่องจากวิสัยทัศน์ในการมองเห็นไม่ดีเท่าที่ควร อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนรถคันอื่นๆได้
- เว้นระยะห่างจากรถคันหน้า ในการขับขี่ควรกะระยะให้ห่างจากรถคันหน้าประมาณไม่น้อยกว่า 3 – 4 ช่วงคันรถ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของหมอกควันด้วย
- เปิดไฟตัดหมอก ในกรณีที่หมอกควันมีความหนาแน่นมาก ควรเปิดไฟตัดหมอก เพื่อช่วยในการมองเห็นให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
- ไม่ใช้ไฟฉุกเฉิน และงดใช้ไฟสูง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ไฟฉุกเฉินในทุกกรณี ถ้าหากไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นข้างหน้า เพราะอาจทำให้รถคันอื่นๆ สับสนได้ ถ้าหากเราต้องการเปลี่ยนช่องทางการขับขี่ เนื่องจากเราไม่สามารถเปิดใช้สัญญานไฟเลี้ยวได้ นอกจากนี้ก็ไม่ควรใช้ไฟสูงด้วยเช่นกัน เพราะแสงไฟอาจไปแยงตารถคันที่ขับสวนมา และอาจทำให้ผู้ขับขี่ตาพร่ามัว และทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
- ไม่ควรเปลี่ยนเลนแบบกระทันหัน และไม่ควรเปลี่ยนเลนบ่อย ก่อนที่เราจะเปลี่ยนเลน ควรเปิดไฟเลี้ยวเพื่อส่งสัญญานบอกรถคันหลังก่อนล่วงหน้าประมาณ ไม่ต่ำกว่า 50 – 100 เมตร เพื่อให้รถคันหลังชะลอ และเปิดช่องทางให้ รวมไปถึงไม่ควรขับขี่เปลี่ยนเลนไปมา เพราะอาจสร้างความรำคาญต่อเพื่อนร่วมทางคันอื่นๆได้
- ลดความเร็ว และชะลอในช่วงก่อนจะถึงทางแยก มองซ้ายขวาอย่างรอบคอบ เพื่อความมั่นใจก่อนที่จะขับไป ในกรณีที่วิสัยทัศน์ในการมองเห็นเข้าขั้นแย่ การลงกระจกสามารถช่วยได้
- ยึดเส้นขอบถนน และหมุดสะท้อนแสงเป็นหลัก ในกรณีที่วิสัยทัศน์ในการมองเห็นถึงขั้นแย่ ให้สังเกตเส้นเหลืองและหมุดสะท้อนแสงบนถนนเป็นหลัก จะสามารถช่วยเพิ่มความแม่นยำในการขับขี่ได้
- จอดในที่จอดฉุกเฉินเท่านั้น ในกรณีที่ขับทางไกล ถ้าอยากจอดรถเพื่อโทรศัพท์หรือทำธุระ ควรจอดในบริเวณที่ใหล่ทางหรือจุดจอดรถฉุกเฉินเท่านั้น แต่ถ้าหากรถเสียและจำเป็นต้องจอด ควรขึ้นเบรคมือ รวมไปถึงตั้งป้ายสะท้อนแสงไว้หลังรถ โดยทิ้งระยะห่างจากตัวรถไม่ต่ำกว่า 50 เมตร เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากรถคันอื่นมาชนท้าย และตัวผู้ขับขี่ควรอยู่ห่างจากตัวรถไม่ต่ำกว่า 50 เมตรเช่นกัน แต่ถ้าจะนั่งอยู่ในรถก็ควรที่จะรัด Safety Belt ไว้ตลอดเวลา