BMW ประกาศเปิดตัว All-New BMW Series 7 (G70) ยนตรกรรมซีดานระดับเรือธงเจนเนอเรชั่นที่ 7 มาพร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่ที่สุขุม ล้ำสมัย ภายในสุดล้ำพร้อมเทคโนโลยีมัลติมีเดียจัดเต็ม และเป็นรุ่นแรกที่มาพร้อมตัวเลือกขุมพลังไฟฟ้า BEV 100%
All-New BMW Series 7 มาพร้อมกับ “Power of Choice” ซึ่งภายใต้แพลตฟอร์มใหม่ที่ครอบคลุมขุมพลังทั้ง น้ำมันเบนซิน ดีเซล ปลั๊กอินไฮบริด และไฟฟ้าล้วน ที่สามารถกระจายช่องทางจำหน่ายในแต่ละประเทศได้อย่างเต็มที่ และลูกค้าก็สามารถเลือกขุมพลังที่เหมาะสมได้ตามต้องการ
ภายนอกใหม่ สุขุม ล้ำสมัย และมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นในทุกมิติ
เริ่มจากรายละเอียดภายนอกที่ได้ถ่ายทอดการออกแบบจาก BMW X7 เอสยูวีระดับเรือธงรุ่นปรับโฉมที่เปิดตัวไปก่อนหน้า และ XM Concept ที่มอบลุคทั้งความสุขุม สง่างาม และล้ำสมัย อาทิ กระจังหน้าไตคู่ดีไซน์ใหม่พร้อมไฟส่องสว่าง, ไฟหน้า Iconic Glow อันหรูหราด้วยไฟ LED 14 ดวง ที่ประดับด้วยคริสตัล Swarovski ที่จัดเรียงเป็นรูปตัว “L” ทำหน้าที่เป็นไฟ Daylight และไฟเลี้ยวที่จะมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยเมื่อเจ้าของกุญแจรถเข้าใกล้ ส่วนไฟหน้าจริงจะอยู่ด้านล่างเหมือน X7, ไฟใต้พื้นรถที่ส่องสว่างต้อนรับเจ้าของรถ
สำหรัไฟท้ายจะเป็นไฟ LED ทรง L-Shape ที่เรียบง่าย โฉบเฉี่ยว พร้อมมอบความสปอร์ตโดดเด่นด้วยกันชนท้ายพร้อมแผงดิฟฟิวเซอร์ และปลายท่อไอเสียทรงสี่เหลี่ยมคางหมูแยกซ้ายขวา
รายละเอียดอื่น ๆ ได้แก่ มือจับเปิดประตูแบบ Pop Up เพิ่มมอบบุคลิกที่ล้ำสมัย และให้ประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า, ล้ออัลลอยมีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 19 ถึง 22 นิ้ว รวมถึงออพชั่นเสริมอย่างตัวถังสีทูโทน ซึ่งเป็นครั้งแรกของรุ่นนี้ที่มีให้เลือก
ทั้งนี้ BMW Series 7 โฉมใหม่ จะมีรุ่นฐานล้อยาวเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ด้วยตัวรถที่ยาวขึ้นอีก 130 มม. เป็น 5,391 มม. ส่งผลให้ระยะฐานล้อยาวอีก 5 มม. เป็น 3,215 มม.
ตัวถังกว้างขึ้น 48 มม. เป็น 1,950 มม. สูงขึ้น 51 มม. เป็น 1,544 มม. นอกจากนี้ ระยะห่างระหว่างล้อหน้าเพิ่มขึ้นอีก 47 มม. เป็น 1,665 มม. และ 4 มม. ที่ล้อหลัง เป็น 1,650 มม.
ครั้งแรก! จอมัลติมีเดียขนาดใหญ่บนเพดาน 31 นิ้ว พร้อมออพชั่นหรูล้ำระดับไฮเอนด์
ด้านการออกแบบภายในได้รับการยกระดับความหรูหรา และความล้ำสมัย ไปพร้อม ๆ กับวัสดุตกแต่งภายในที่หลากหลายขึ้นกับรุ่นย่อย และยังมาพร้อมกับวัสดุจากวัตถุดิบแห่งความยั่งยืน และวัสดุรีไซเคิลก็มีให้เลือกเช่นกัน และยังมา
ความน่าสนใจของภายในห้องโดยสารรุ่นนี้คือการลดอุปกรณ์ควบคุมให้น้อยลง เพื่อให้รถดูเรียบง่าย และกว้างขวางขึ้น จึงมาพร้อมกับจอดิจิทัลบนแผงคอนโซลหน้าขนาดใหญ่แบบจอโค้ง ประกอบด้วยจอเรือนไมล์ 12.3 นิ้ว และจออินโฟเทนเมนต์ขนาด 14.9 นิ้ว รองรับ iDrive 8 รุ่นใหม่ล่าสุด
ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 2023 หน้าจอหลักจะจะได้รับการอัปเดทให้สามารถสตรีมเนื้อหา YouTube ได้ และรองรับการเชื่อมต่อแอปฯ ของบุคคลที่สามเพิ่มเติมด้วย
พร้อมกับ BMW Interaction Bar ซึ่งใช้รูปทรงของพื้นผิวสัมผัสแบบ capacitive บริเวลแผงคอนโซลฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าให้สามารถควบคุมฟังก์ชั่นต่าง ๆ ภายในรถได้สะดวก และทำให้ภายในห้องโดยสารดูหรูล้ำยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันผู้โดยสารแถวหลังสามารถเพลิดเพลินกับการป้อนคำสั่งภายในรถผ่านจอดิจิทัลทัชสกรีนขนาด 5.5 นิ้ว บริเวณที่วางแขนข้าประตู สำหรับปรับตำแหน่งเบาะ เปิดฟังก์ชั่นนวดหลัง เปิด-ปิดม่านบังแดด, เปิดโคมไฟ, ปรับอุณหภูมิแอร์ เป็นต้น
ไฮไลท์เด็ดของรถรุ่นนี้อยู่ที่จอ Theatre Screen พร้อมระบบสัมผัสบนเพดานรถขนาด 31.3 นิ้ว ความคมชัดระดับ 8K พร้อมกับ Fire TV ครอบคลุมทั้งการเปิด TV, สตรีมมิ่ง, ท่องเว็บไซต์, เล่นเกม, ดาวน์โหลดแอป และฟังเพลงโปรดของคุณได้อีกด้วย ประกอบกับหน้าจอขนาดใหญ่สามารถแสดงผลได้ขนาดตั้งแต่ 16:9, 21:9 หรือ 32:9 และพับเก็บบนเพดานได้อย่างเรียบร้อยเมื่อไม่ใช้งาน
และเพื่อมอบความบันเทิงเต็มสูบ ตัวรถมาพร้อมชุดเครื่องเสียงจาก Bowers & Wilkins ด้วยระบบเสียงรอบทิศทางจาก ลำโพง 655 วัตต์ 18 ตำแหน่ง เป็นออพชั่นมาตรฐาน!
แต่คุณสามารถเพิ่มจำนวนลำโพงเป็นสองเท่า สูงสุด 36 ตำแหน่ง กำลังขับสูงถึง 1,965 วัตต์ จากแพ็คเกจ Diamond Surround Sound System ของ Bowers & Wilkins โดยลำโพงสี่ตัวถูกรวมเข้ากับแผงบุหลังคา ขณะที่พนักพิงศีรษะสำหรับที่นั่งด้านหน้า และด้านหลังมีลำโพงเซอร์ราวด์คู่หนึ่งด้วย
ออพชั่นอื่น ๆ ได้แก่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นใหม่, หลังคาพาโนรามิกรูฟ พร้อมฟีเจอร์ Sky Lounge Panorama Glass รวมถึงระบบปิดประตูอัตโนมัติที่ทำงานร่วมกับระบบสัมผัส หรือผ่านจออินโฟเทนเมนต์เป็นออพชั่นเสริม นอกจากนี้ แอปพลิเคชั่น My BMW ก็ยังสามารถสั่งการเปิด-ปิดประตูอัตโนมัติได้เช่นกัน ซึ่งบางออพชั่นได้รับการพัฒนาและต่อยอดจากออพชั่นระดับไฮเอนด์จาก Rolls-Royce
สำหรับพื้นที่ห้องสัมภาระท้ายนั้นได้มีการขยายความจุเพิ่ม 25 ลิตร เป็น 540 ลิตร ในรุ่นเครื่องยนต์ ICE ส่วนรุ่นปลั๊กอินไฮบริด ความจุจะมากถึง 525 ลิตร แม้จะดูน้อย แต่ถ้าเทียบกับความจุของโฉมปัจจุบัน จะเพิ่มมากถึง 105 ลิตร และรุ่น EV จะมีความจุเพียง 500 ลิตร ซึ่งต้องขอขอบคุณแพลตฟอร์มใหม่นี้ ที่ทำให้การจัดวางแบตเตอรี่และมอเตอร์ล้อหลังมีสัดส่วนที่กระชับขึ้น
ขุมพลังที่ครอบคลุมทั้ง ICE / PHEV / BEV
BMW Series 7 โฉมใหม่ มาพร้อมกับแพลตฟอร์มใหม่ ที่รองรับขุมพลังตั้งแต่เครื่องยนต์สันดาปภายในยันไฟฟ้า 100% เริ่มจากเครื่องยนต์สันดาปภายในที่จะนำเสนอพร้อมกับเทคโนโลยี Mild-Hybrid ทุกรุ่น โดยจะได้รับมอเตอร์และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า 48V ที่จะมอบกำลังเสริม 12 แรงม้า แรงบิด 200 นิวตันเมตร โดยจะประจำการในรุ่นต่าง ๆ ดังนี้
735i ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร Twin Power Turbo 272 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 100 กม./ชม. ใน 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
740i ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร Twin Power Turbo เช่นกัน 380 แรงม้า แรงบิด 520 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 100 กม./ชม. ใน 5.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
760i xDrive ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.0 ลิตร Twin Power Turbo 544 แรงม้า แรงบิด 750 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 100 กม./ชม. ใน 4.2 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ไว้ที่ 250 กม./ชม.
740d xDrive ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร 286 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 100 กม./ชม. ใน 6.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
ทางด้านขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด จะนำเสนอในรุ่น 750e xDrive ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง จับคู่มอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 490 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 100 กม./ชม. ใน 4.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. โดยโหมดไฟฟ้าจะจำกัดความเร็วสูงสุดเพียง 140 กม./ชม. ขณะเดียวกันเมื่อใช้โหมดไฟฟ้าจะวิ่งได้ไกลถึง 89 กม./ความจุแบตเตอรี่ 18.7 kWh เต็ม 100%
สำหรับรุ่น M Performance จะได้นำเสนอเป็นรุ่น M760e xDrive ซึ่งจะมีเฉพาะขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดเท่านั้น โดยจะได้รับการปรับปรุงสมรรถนะจากรุ่น 750e xDrive เพื่อเค้นกำลังสูงสุด 571 แรงม้า แรงบิด 800 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 100 กม./ชม. ใน 4.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.ขณะเดียวกันเมื่อใช้โหมดไฟฟ้าจะลดลงเหลือเพียง 84 กม./ความจุแบตเตอรี่ 18.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง เต็ม 100%
ทุกรุ่นส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด น่าเสียดายที่ Series 7 โฉมใหม่นี้จะไม่วางจำหน่ายเครื่องยนต์ V12 อีกต่อไป
เปิดศักราชใหม่ของรถซีดานเรือธงด้วยรุ่น i7
และไฮไลท์สำคัญของรถรุ่นนี้คือ i7 xDrive60 ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า BEV 100% รุ่นแรกของ Series 7 ด้วยเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนเจนเนอเรชั่นที่ 5 และมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังรวมสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิด 745 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ที่ 4.7 วินาที แต่ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 240 กม./ชม.
ตัวรถมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่มีความจุสุทธิ 101.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถวิ่งได้ไกลถึง 625 กม./ความจุแบตเตอรี่เต็ม 100%* ขณะเดียวกัน ประสิทธิภาพการชาร์จไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC) รองรับกำลังชาร์จได้สูงสุด 195 กิโลวัตต์ โดยชาร์จเพียง 10 นาที สามารถวิ่งได้ไกลถึง 170 กม.*
นอกจากนี้ ด้านการดีไซน์ของรถก็จะมีความแตกต่างกันในด้านชุดแต่งโครเมียมรอบคัน และแซมด้วยชิ้นส่วนโครเมียมสีน้ำเงิน ทำให้ตัวรถมีบุคลิกที่หรูหรา เจิดจรัสกว่า
ช่วงล่างคุณภาพสูง พร้อมเทคโนโลยีที่เกาะถนนได้นุ่มนวลทุกสภาพการขับขี่
ด้านช่วงล่างจะได้รับระบบกันสะเทือนแบบถุงลมพร้อมระบบปรับด้วยไฟฟ้าทั้งเพลาหน้า และเพลาหลังเป็นออพชั่นมาตรฐาน กับพวงมาลัยล้อหลังทำมุมได้สูงสุด 3.5 องศา ที่ความเร็วต่ำล้อหลังจะหมุนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้าเพื่อลดระยะวงเลี้ยวลง 0.8 เมตร รวมถึงล้อทั้งสี่จะหมุนไปในทิศทางเดียวกันเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง เพื่อการเกาะถนนได้มั่นคงยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถเลือกเพิ่มระบบป้องกันการพลิกคว่ำแบบแอ็คทีฟเป็นออพชั่นเสริมได้
นอกจากนี้ ภายในปี 2023 จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบขับขี่อัตโนมัติแบบแฮนด์ฟรีที่รองรับความเร็วสูงสุดไม่เกิน 130 กม./ชม. และ Driving Assistance Professional Package เป็นออพชั่นเสริม
ราคาจำหน่าย BMW Series 7 โฉมใหม่
อิงราคาดอลลาร์สหรัฐฯ ยังไม่รวมค่าขนส่งปลายทาง 995 ดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาบางรุ่น ดังนี้
- BMW 740i ราคา 93,300 ดอลลาร์ (ราว ๆ 3.16 ล้านบาท)
- BMW 760i xDrive ราคา 113,600 ดอลลาร์ (ราว ๆ 3.85 ล้านบาท)
- BMW i7 xDrive60 ราคา 119,300 ดอลลาร์ (ราว ๆ 4.04 ล้านบาท)
ส่วนกำหนดจำหน่ายและส่งมอบในอเมริกา จะมีขึ้นราว ๆ ไตรมาสที่ 4 ปี 2022 เป็นต้นไป และจะทยอยเปิดตัวทั่วโลก ส่วนสเปคไทยรอลุ้นว่าจะได้รุ่นอะไรมาจำหน่ายกัน
*มาตรฐานการทดสอบจาก WLTP
เครดิตข้อมูลจาก carscoops.com และ bmwblog.com