Mazda กลยุทธ์ มาสด้า

Mazda ปรับกลยุทธ์ยกระดับคุณค่าแบรนด์ พร้อมบริการดูแลลูกค้าแบบพรีเมี่ยม

มาสด้า เผยผลสำเร็จในการดำเนินธุรกิจประจำปีงบประมาณ 2564 พร้อมเดินหน้าปรับกลยุทธ์ใหม่ ยกระดับภาพลักษณ์ และการบริการในปีงบประมาณ 2565 ในทุกด้าน

Home / AUTO / Mazda ปรับกลยุทธ์ยกระดับคุณค่าแบรนด์ พร้อมบริการดูแลลูกค้าแบบพรีเมี่ยม

มาสด้าจัดงาน “2022 Mazda Business Review & Way Forward” ภายใต้ธีม “ท้าทายความสำเร็จอีกขั้น…สู่อนาคตที่เป็นไปได้” หรือ “Challenge to the New Possibilities” พร้อมเปิดเผยถึงผลสำเร็จในการดำเนินธุรกิจประจำปีงบประมาณ 2564 โดยเฉพาะตัวเลขยอดขายทะลุ 35,654 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 4.5% เดินหน้าแตกไลน์ธุรกิจใหม่กับมาสด้า CPO ยกระดับมูลค่าราคารถมือสองปรับกลยุทธ์การบริหารธุรกิจสู่ความยั่งยืนด้วย Retention Business Model เน้นสร้างคุณค่าของแบรนด์จากการบริการ ยกระดับการดูแลลูกค้าระดับพรีเมี่ยมด้วยโปรแกรม Privilege ตั้งเป้าปีนี้ยอดขายทะลุ 40,000 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 15%

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังด้านการใช้จ่ายเนื่องจากไม่แน่ใจต่อสถานการณ์ และยังส่งผลกระทบถึงโรงงานผลิตชิ้นส่วนหลายแห่งต้องหยุดการผลิตทำให้เกิดการขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิตและกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งระบบ อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณบวกจากการที่ประชาชนได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น การผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ จากภาครัฐ ทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยปีงบประมาณ 2564 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2563 ที่ 1% ประมาณ 795,000 โดยตลาดรถปิกอัพได้รับความนิยมสูงสุด มีจำนวนรวม 357,000 คัน ตามมาด้วยรถยนต์นั่งจำนวน 214,000 คัน รถอเนกประสงค์เอสยูวี (รวม PPV) จำนวน 143,000 คัน อื่น ๆ จำนวน 81,000 คัน ซึ่งในจำนวนนี้มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจำนวน 2,097 คัน

Mazda2 – Mazda CX-3 ยังคงร้อนแรง แม้ตลาดหดตัวจากปี 2563

สำหรับปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างเดือนเมษายน 2564 – มีนาคม 2565) มาสด้าทำยอดขายได้ 35,654 คัน ลดลงเล็กน้อย 11% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2563 ครองส่วนแบ่งการตลาด 4.5% แบ่งเป็นรถยนต์นั่งจำนวน 20,115 คัน โดยเฉพาะ Mazda2 ยังร้อนแรงต่อเนื่องด้วยยอดขายเกินกว่าครึ่ง มีจำนวนสูงถึง 18,426 คัน ตามมาด้วย Mazda3 จำนวน 1,685 คัน และ Mazda MX-5 จำนวน 4 คัน ขณะที่รถปิกอัพ Mazda BT-50 ยอดขาย 1,224 คัน

ส่วนครอสโอเวอร์เอสยูวีตระกูล CX-Series มีจำนวนทั้งสิ้น 14,315 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 2% อันได้แก่ รถครอสโอเวอร์เอสยูวี Mazda CX-30 มียอดขายสูงสุดถึง 6,879, Mazda CX-3 จำนวน 5,378 คัน ซึ่งรถรุ่นนี้เป็นรถรุ่นเดียวที่ทำยอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่ทำได้เพียง 3,096 คัน หรือเพิ่มขึ้น 73.70%, Mazda CX-8 จำนวน 1,074 คัน และ Mazda CX-5 จำนวน 984 คัน ตามลำดับ

ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีงบประมาณ 2565 ว่า “สถานการณ์ในปีนี้ แม้ว่าจะยังมองไม่เห็นปัจจัยบวกที่ชัดเจนอีกทั้งยังมีปัจจัยลบที่อยู่นอกเหนือการควบคุมรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น ความตึงเครียดในยุโรป ภาวะเงินเฟ้อ ค่าเงินบาทที่มีความผันผวน ความหวาดหวั่นต่อการกลายพันธุ์ของโรคโควิด-19 ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ระบบขนส่งโลจิสติกส์ และการขาดแคลนชิ้นส่วนเพื่อผลิตรถยนต์ แต่เชื่อว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว การที่ประชาชนได้รับวัคซีน เป้าหมายการปรับเป็นโรคประจำถิ่น การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ และมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ ล้วนแล้วจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นกลับมาได้เร็วขึ้น”

“ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เติบโตหวือหวามากนัก แต่เชื่อว่าจะดีกว่าปีผ่านมา คาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีงบประมาณนี้จะมียอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 820,000 – 850,000 คัน และมาสด้าคาดว่าจะมียอดขายมากกว่า 40,000 คัน หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 15%”

ยกระดับตลาดรถมือสองภายใต้กลยุทธ์ Trade Cycle Management

สำหรับในปีงบประมาณ 2565 นี้ มาสด้าเตรียมบุกตลาดรถมือสอง ด้วยการเปิดตัวธุรกิจใหม่ MAZDA CPO (Certified Pre-Owned) นำเสนอรถยนต์ใช้แล้วคุณภาพดีให้กับลูกค้า เพื่อเป็นช่องทางให้ลูกค้าได้นำรถเก่ามาเทรด-อิน ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำ หรือซื้อเพิ่มเติม ภายใต้กลยุทธ์ Trade Cycle Management ซึ่งลูกค้าได้ประโยชน์สูงสุดจากการครอบครองรถยนต์มาสด้าที่ผ่านการตรวจสอบอุปกรณ์และชิ้นส่วนกว่า 100 รายการ ผ่านมาตรฐานและการรับรองจากมาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ซึ่งโครงการ MAZDA CPO จะเป็นการยกระดับมูลค่ารถมาสด้ามือสองในตลาด รวมถึงเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ และสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

ปัจจุบัน เปิดดำเนินการแล้ว 9 แห่ง ปีนี้ตั้งเป้าขยายเพิ่ม 18 แห่ง และจะเพิ่มขึ้นเป็น 38 แห่ง ภายในปี 2568 ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด

เดินหน้าแผนงานระยะกลางยกระดับคุณค่าของแบรนด์ให้เหนือกว่าเดิม

Mazda

ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ กล่าวถึงกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจในปีงบประมาณใหม่นี้ว่า มาสด้าจะเดินหน้าอย่างเต็มรูปแบบตามแผนงานระยะกลาง (Mid-Term Plan) เพื่อยกระดับคุณค่าแบรนด์มาสด้าในประเทศไทย ผ่านโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า “Retention Business Model” โดยให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าแบรนด์ และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าในระยะยาว

ซึ่งโมเดลธุรกิจใหม่นี้จะเป็นแกนหลักสำคัญที่จะถูกส่งต่อเพื่อกำหนดเป็นกลยุทธ์ในการทำงานในทุก ๆ ส่วน โดยแบ่งออกเป็น 5 แกนหลัก ได้แก่

1.สร้างคุณค่าของแบรนด์ Brand Value Management (BVM)

ยกระดับคุณค่าแบรนด์ด้วยการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในทุก Touchpoint เพื่อยกระดับความพึงพอใจสูงสุด โดยเริ่มต้นก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อ ผ่านขั้นตอนการซื้อ
จนถึงการเอาใจใส่ดูแลลูกค้าไปตลอดอายุการใช้งาน

2.สร้างความผูกพันกับลูกค้า Customer Retention Business

ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าด้วยบริการหลังการขายและสร้างความผูกพันกับแบรนด์มาสด้า ภายใต้ธุรกิจรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขยายศูนย์ซ่อมตัวถังและสี เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการของลูกค้าการขยายไลน์ธุรกิจรถมือสองคุณภาพเหนือระดับ MAZDA CPO การขยายศูนย์บริการตรวจเช็กระยะแบบเร่งด่วนภายใน 30 นาที หรือ Mazda Fast Service ให้ครอบคลุมพื้นที่ที่มีการใช้บริการของลูกค้าหนาแน่น และเน้นสร้างความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ด้วยโครงการ CRM และ Customer Privilege Program มอบสิทธิประโยชน์ให้ลูกค้า ดูแลลูกค้าแบบพรีเมี่ยม เป็นบุคคลพิเศษสุดเกิดเป็นความจงรักภักดีกับแบรนด์ กลับมาใช้บริการซ้ำ และส่งต่อไปยังเจเนอเรชั่นถัดไป

3.กลยุทธ์ด้านการขยายเครือข่าย Dealer Network Strategy รองรับปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้น

สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุด ให้บริการลูกค้าได้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ มาสด้ามีแผนงาน ดังนี้

  • ขยายโชว์รูมและศูนย์บริการให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 139 แห่ง พร้อมปรับทุกฟังก์ชันให้สามารถรองรับการบริการแบบครบวงจร
  • ขยายศูนย์ซ่อมตัวถังและสี ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 54 แห่ง เพิ่มขึ้นเป็น 58 แห่ง
  • เพิ่มช่องการให้บริการตรวจเช็กตามระยะแบบเร่งด่วน ภายในเวลา 60 นาที หรือ Mazda Fast Track เพิ่มเป็น 34 แห่ง
  • ยายศูนย์บริการในเขตที่มีประชากรมาสด้าหนาแน่น Mazda Fast Service หรือ Mazda Satellite Service เพื่อให้บริการตรวจเช็กตามระยะแบบเร่งด่วนภายใน 30 นาที ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยตั้งเป้าเพิ่มขึ้นเป็น 3 แห่ง

4.การตลาดยุคดิจิทัล Use of Digital Platform

นำแพลตฟอร์มออนไลน์สื่อสารกับลูกค้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำการตลาดแบบ Fan-Based Marketing แบบ One-to-One Communication รวมถึงการนำฐานข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านระบบที่เรียกว่า Global One Customer Data Management System

5.มุ่งมั่นสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน Sustainable Zoom-Zoom ภายในปี 2573

  • มาสด้าประกาศวิสัยทัศน์เกี่ยวกับแผนพัฒนาเทคโนโลยีระยะยาว Sustainable Zoom-Zoom เมื่อปี 2550 และอัปเดตอีกครั้งในปี 2560 เป็น “Sustainable Zoom-Zoom 2030” โดยแก่นแท้ของวิสัยทัศน์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง มาสด้าให้คำมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายในเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2593
  • ภายใต้กลยุทธ์ Building Block Strategy เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลด CO2 แบบ Well-to-Wheel ด้วยการใช้แนวทาง Multi-solution ช่วยให้นำเสนอรูปแบบพลังงานที่ถูกต้องในสถานการณ์ที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความเหมาะสมในแต่ละตลาด ตลอดจนสถานการณ์ด้านพลังงานของแต่ละภูมิภาค การผลิตไฟฟ้า และอื่น ๆ

ดังนั้น แนวทาง Building Block Strategy ที่จะทำให้มาสด้าบรรลุวัตถุประสงค์ตามวิสัยทัศน์ดังกล่าว คือการสร้างรากฐานด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ตามลำดับเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อให้เกิดการพัฒนารถยนต์ที่ตอบสนองการใช้งานในกรอบเวลาที่เหมาะสม

เฟส 1

พัฒนาเทคโนโลยีบนพื้นฐานของรถทั้งคัน ด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ประกอบด้วย เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง โครงสร้างตัวถัง และแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพสูง โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลายรุ่นขั้นตอนในการพัฒนานี้ได้มีการนำเอาเทคโนโลยีพื้นฐานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเข้ามาใช้ เช่น ระบบ i-Stop และ Regenerative Braking System ที่นำเอาพลังงานจากการหยุดรถกลับมาชาร์จเป็นพลังงานไฟฟ้า และนำพลังงานกลับมาใช้ในระบบไฟฟ้าของรถยนต์

เฟส 2

ได้มีการพัฒนาเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังเจนเนอเรชั่นใหม่ พร้อมกับการพัฒนาแพลตฟอร์ม Skyactiv Scalable Architecture เป็น Multi-Solution สำหรับกลุ่มรถขนาดเล็กและขนาดกลาง ล่าสุด ได้พัฒนา Large Platform สำหรับกลุ่มรถขนาดใหญ่ที่มีการวางเครื่องยนต์ตามแนวยาว

รวมถึงการนำเอาพลังงานไฟฟ้าเข้ามาเสริม อาทิ HEV, ​PHEV, Rotary Range Extender และรถยนต์ไฟฟ้า BEV โดยรุ่นแรก คือ MX-30 ด้วยพื้นฐาน Platform และเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้รถยนต์ xEV ประหยัดพลังงาน และมีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม

เฟส 3

ในอนาคต มาสด้ากำลังพัฒนา Skyactiv EV Scalable Architecture หรือ Next Generation บนโครงสร้างพื้นฐาน Skyactiv สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับขนาดได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเสนอโครงสร้างที่ตอบโจทย์รถไฟฟ้าในทุกองค์ประกอบในทุกเซกเมนต์ ซึ่งลูกค้ามีความต้องการที่แตกต่างกันภายใต้ Building Block Strategy และ Multi-Solution โดยนำเสนอรถยนต์ ICE ประสิทธิภาพสูงและรถพลังงานไฟฟ้า xEV แบบ Multi-Solution ในแต่ละตลาดที่แตกต่างกัน

ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า มาสด้ายังคงเดินหน้าเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่มาพร้อมเครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัย ให้การประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ของมาสด้า มาสด้าเชื่อว่ารถยนต์ภายใต้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าในประเทศไทย

แต่ในขณะเดียวกัน ก็ได้เตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยจะทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตลาดในประเทศไทยแบบเป็นขั้นเป็นตอนภายใต้กรอบเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าได้รับเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในเวลาช่วงที่เหมาะสมที่สุดกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการดำเนินธุรกิจของมาสด้า ในปีงบประมาณ 2565 ที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในห้วงเวลาที่อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย เพื่อมอบทางเลือกที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ Mazda จะมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ มอบความคุ้มค่า และส่งมอบเทคโนโลยียานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ตามวิสัยทัศน์ Sustainable Zoom-Zoom 2030 เพื่อให้โลกของเรายังคงสวยงาม เพื่อความสุขผู้คนในสังคม และสร้างสังคมให้น่าอยู่ตลอดไป