ผู้บริหารใหญ่ Daihatsu เตรียมพิจารณาการพัฒนารถเคคาร์ขุมพลังไฟฟ้าในราคาที่ไม่แพง เพื่อยกระดับเป้าหมายของการลดมลพิษในอากาศ และสกัด “ภัยคุกคาม” ของรถมินิคาร์ไฟฟ้าจากประเทศจีนที่มีราคาถูกกว่า 0oส่งผลกระทบต่อตลาด Kei Car อันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นในเวลานี้
ตลาดรถเคคาร์ หรือรถยนต์ขนาดเล็กเครื่องยนต์ 660 ซีซี จะเป็นรถยนต์ที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน แต่ในเวลานี้มีคู่แข่งที่เข้ามาตีตลาดทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่าง มินิคาร์ EV ราคาถูกจากประเทศจีน ที่ในเวลานี้ได้ถูกนำเข้ามาจำหน่ายในญี่ปุ่น และมีราคาที่ถูกกว่าครึ่งหนึ่งของรถเคคาร์ในปัจจุบัน
แม้ว่าทางผู้ผลิตหลายรายต่างพัฒนาเคคาร์ขุมพลังไฟฟ้ามานานกว่าหลายปี แต่ด้วยข้อจำกัดในด้านระยะทางการขับขี่ สถานีชาร์จที่ยังไม่แพร่หลาย ทรัพยากรการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่ขาดแคลน และราคาที่สูงเกินกว่าราคารถเคคาร์เครื่องยนต์ ICE ส่งผลการให้การพัฒนา ผลิต และจัดจำหน่าย Kei Car EV เป็นไปอย่างเชื่องช้า
Mr. Soichiro Okudaira ผู้บริหาร Daihatsu Motor ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Nikkei โดยยอมรับว่าในเวลานี้ญี่ปุ่นให้ความสำคัญต่อการพัฒนารถ EV ขนาดเล็กได้ช้ามากจนทำให้ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนสามารถตีตลาดได้ และบริษัทมุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุดเพื่อแข่งขันกับสิ่งที่ชาวจีนสร้างขึ้นได้
“แนวคิดการออกแบบรถยนต์ของจีน ไม่ได้เป็นเพียงส่วนเสริมของสิ่งที่มีมาก่อน ตัวอย่างเช่น แบตเตอรี่ และมอเตอร์ระบายความร้อนด้วยอากาศแทนที่จะเป็นน้ำ แม้ว่าอาจจะมีข้อเสีย เช่น ไม่เหมาะสำหรับการขับทางไกลด้วยความเร็วสูง แต่สามารถลดต้นทุนได้ด้วยการจำกัดสภาพแวดล้อมการทำงานที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งบริษัทของเราจะกลับไปสู่พื้นฐานของการผลิตรถยนต์และคิดแนวคิดใหม่สำหรับ EV ราคาไม่แพง เราต้องสามารถแข่งขันด้านราคาได้”
แม้ว่าทางบริษัทฯ เตรียมจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2025 แต่จะมีราคาราว ๆ 1 ล้านเยน ซึ่งส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ยังคงมีราคาที่สูงกว่ามินิคาร์ไฟฟ้าจากจีนถึงเท่าตัว
ซึ่งทาง Soichiro Okudaira ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะต้องดีกว่ามินิคาร์ไฟฟ้าจากจีนแน่นอน ทั้งภายในที่กว้างขวาง จุสัมภาระได้มากกว่า และนั่งได้สี่คน อันเป็นหัวใจสำคัญของเคคาร์ที่ให้ความสำคัญในการออกแบบมาอย่างยาวนาน
โดยได้เผยว่ากำลังพิจารณานำแพลตฟอร์ม Mira e:S และ Hijet มาพัฒนาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่าอาจจะให้ระยะทางที่จำกัด แต่จะไม่ส่งผลต่อราคาอย่างแน่นอน
“ทางบริษัทฯ กำลังสำรวจทางเลือกที่หลากหลาย รวมถึงการซื้อแบตเตอรี่ที่ผลิตในจีน ซึ่งจะต้องใช้ต้องใช้เงินลงทุนหลายหมื่นล้านเยนขึ้นไปเพื่อผลิตรถยนต์ใหม่ทั้งหมดภายในปี 2030 เพื่อควบคุมต้นทุนการพัฒนาและผลิต จึงต้องร่วมกับพันธมิตรสำคัญอย่าง Toyota Motor และ Suzuki Motor เพื่อร่วมพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กโดยเฉพาะ”
เครดิตข้อมูลจาก asia.nikkei.com