Mercedes-AMG สานตำนานโรดสเตอร์เปิดประทุน 2+2 ที่นั่งตระกูล SL ด้วยการเปิดตัว All-New Mercedes-AMG SL โรดสเตอร์เปิดประทุนที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่ แพลตฟอร์มใหม่ และขุมพลัง V8 สมรรถนะอันจัดจ้าน และเป็นแนวทางที่จะต่อยอดสู่ AMG GT coupe โฉมใหม่ในอนาคต ประเดิมด้วย 2 รุ่น ได้แก่ SL 55 และ SL 63
Mercedes-AMG SL สานตำนานรถสปอร์ตโรดสเตอร์ของค่ายดาวสามแฉกที่มีอายุยาวนานเกือบ 7 ทศวรรษ พร้อมกับการยกระดับเทคโนโลยีและสมรรถนะจาก AMG โดยเฉพาะ เริ่มจากโครงสร้างและแพลตฟอร์มที่ผสมวัสดุหลายชนิด อาทิ อะลูมิเนียม เหล็ก แมกนีเซียม และคอมโพสิต
Mercedes-AMG SL ทุกรุ่น มอบบุคลิกอันโดดเด่นด้วยกระจังหน้า Panamericana แบบฟันอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรถแบรนด์ Mercedes-AMG, ไฟหน้า LED สามเหลี่ยมเพิ่มความดุดัน, ไฟท้าย LED, สปอยเลอร์ท้ายพร้อมระบบควบคุมองศาปีก 5 ระดับอัตโนมัติเพื่อสร้างแรงกดด้านท้าย
นอกจากนี้ลูกค้าสามารถเลือกแพ็คเกจ Aerodynamics Package ที่มาพร้อมชุดแอโร่พาร์ท, สปอยเลอร์คาร์บอนที่กันชนหน้าที่สามารถขยายออกได้ถึง 40 มม. เพื่อช่วยสร้างแรงกดส่วนหน้ารถเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง
สำหรับภายในนั้นได้นำเสนอเรือนไมล์จอดิจิทัล 3 มิติ และจอแสดงผลบนกระจกหน้า กับจออินโฟเทนเมนต์ขนาดใหญ่พร้อมเทคโนโลยี MBUX พร้อมวัสดุตกแต่งที่มอบอารมณ์สปอร์ตโดยเฉพาะ
ตัวรถยังได้นำเบาะหลังขนาดเล็กที่สามารถรองรับร่างกายได้สูงถึง 1.5 ม. เหมาะสำหรับเด็ก หรือผู้โดยสารขนาดเล็ก รวมถึงได้รับ Airscarf หรือระบบพ่นลมอุ่นที่ลำคอ ที่จะเป็นออพชั่นมาตรฐานทั้งสองรุ่น และรุ่นเครื่องยนต์ V6 ที่หรูน้อยกว่าในอนาคต
หลังคาผ้าใบ 3 ชั้น ถูกแทนหลังคาเหล็กแบบเดิม ซึ่งจะช่วยควบคุมจุดศูนย์ถ่วง ลดน้ำหนักลง 21 กก. และยังช่วยให้มีพื้นที่ห้องสัมภาระท้ายที่กว้างพอใส่ถุงกอล์ฟสองใบไว้ในท้ายรถได้ แม้จะเก็บหลังคาผ้าใบไว้ท้ายรถแล้วก็ตาม สำหรับความเร็วในการเปิด-ปิดหลังคา ใช้เวลาเพียง 15 วินาที ที่ความเร็ว 37 ไมล์ต่อชั่วโมง
ขุมพลังของ Mercedes-AMG SL ทุกรุ่น ประเดิมด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 ความจุ 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ M177 แต่จะให้สมรรถนะที่แตกต่างกัน เริ่มจาก SL 55 ให้ 470 แรงม้า แรงบิด 516 ปอนด์-ฟุต อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ถึง 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 183 ไมล์ต่อชั่วโมง
ส่วนรุ่น SL 63 ได้อัปเกรดเทอร์โบบูสต์ การไหลเวียนของอากาศที่ดีขึ้น และการปรับแต่งซอฟต์แวร์ เพื่อเค้นสมรรถนะให้สูงถึง 577 แรงม้า แรงบิด 590 ปอนด์-ฟุต อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ถึง 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 196 ไมล์ต่อชั่วโมง
และในอนาคตจะมีเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดมาเสริมทัพ ซึ่งคาดว่าอาจจะยืมจากรุ่น AMG GT 63 E ที่ให้สมรรถนะสูงสุด 831 แรงม้า กับรุ่น V6 ที่จะเป็นรุ่นมาตรฐาน
ทุกรุ่นจับคู่เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ที่จะสลับทอร์คคอนเวอร์เตอร์เป็นชุดคลัตช์เปียก ซึ่งจะทำให้ SL เค้นรอบเร็วขึ้น และรู้สึกตอบสนองต่อเครื่องยนต์ได้ดียิ่งขึ้น และทั้งสองรุ่นจะได้รับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4Matic+, ระบบกันสะเทือนล้อหน้าใช้แบบ 5-Link, ดิสก์เบรกคาร์บอนเซรามิก, พวงมาลัยล้อหลัง, ล้ออัลลอยขนาดตั้งแต่ 19-21 นิ้วให้เลือก
แต่สำหรับรุ่น SL 63 จะได้รับโช้คอัพถุงลม, ระบบ Active Roll Control และคาลิเปอร์เบรกสีทอง ขณะที่รุ่น SL 55 จะได้สีแดง
นอกจากนี้ Mercedes-AMG SL จะไม่ได้รับออพชั่นจากรถหรู เช่น ระบบช่วยบังคับเลี้ยวและระบบเบรกอัตโนมัติที่ส่งตรงจาก S-Class เพื่อรักษาประสบการณ์การขับขี่รถสปอร์ตที่สนุกได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ลดทอนความหรูหรามีระดับ
เครดิตข้อมูลจาก carscoops.com