Land Rover ประกาศเปิดตัวเอสยูวีระดับไฮเอนด์ All-New Range Rover เจนเนอเรชั่นที่ 5 ที่มาพร้อมกับแพลตฟอร์มใหม่ รองรับขุมพลังอันหลากหลาย เทคโนโลยีอันล้ำสมัยทั้งภายนอกถึงภายในที่ซ่อนอยู่ในความเรียบหรูและมีเสน่ห์ชวนสะกดใจ
Range Rover โฉมใหม่จะมีให้เลือกด้วยกัน 4 รุ่นย่อยได้แก่ SE, HSE, Autobiography และ First Edition รวมถึงมีรุ่นฐานล้อปกติ กับฐานล้อยาว และภายในแบบ 4 ที่นั่งส่วนตัว และ 7 ที่นั่งสำหรับครอบครัว
โดย Range Rover โฉมใหม่ ยังคงมาพร้อมกับรูปลักษณ์เดิม ที่ถูกปรับให้เรียบง่าย สวยงาม และทันสมัยยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าแบบตื้น รับกับไฟหน้า LED ใหม่, กันชนหน้าที่เรียบหรู รวมถึงด้านข้างตัวถังที่เรียบไม่แพ้กัน โดยจะได้รัยทั้งมือจับเปิดประตูแบบฝัง, ส่วนสี่เหลี่ยมที่เป็นครีบอันเป็นเอกลักษณ์ก็ทำเรียบเนียนไปกับตัวถังด้วย
ขณะเดียวกันส่วนท้ายของรถก็เป็นแถบไฟท้าย LED แนวตั้งที่รับกับเสาท้ายของรถอย่างลงตัว และมอบความสวยงามด้วยแถบสีดำบนประตูท้าย
มิติตัวถังของ Range Rover มีการเติบโตขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากใช้ล้อที่มีขนาดใหญ่ถึง 23 นิ้ว ส่งผลให้ตัวรถยาวขึ้นถึง 5,052 มม. รวมถึงฐานล้อที่ยาวขึ้นกว่าเดิม ซึ่งขณะเดียวกันก็จะมีรุ่นฐานล้อมาตรฐาน และรุ่นฐานล้อยาว
ภายในมาพร้อมเรือนไมล์จอดิจิทัลขนาดใหญ่ 13.7 นิ้ว, จออินโฟเทนเมนต์ Pivo Pro ขนาด 13.1 นิ้ว พร้อมระบบ Haptic Feedback ที่ได้ใช้งานภายในรถยนต์เป็นครั้งแรก กับจอสัมผัสขนาด 11.4 นิ้วที่ด้านหลัง พร้อมระบบ Amazon Alexa voice AI, รองรับการอัปเดทซอร์ฟแวร์แบบ Over-the-Air และการตัดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟผ่านระบบเสียง Meridian ที่จะได้รับในบางรุ่นด้วย
นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกประตูไฟฟ้าอัจฉริยะที่มาพร้อมฟีเจอร์ระบบตรวจจับด้านข้างพร้อมแสดงผลผ่านจอ และระบบป้องกันการชนระหว่างเปิดประตู รวมถึงแพ็คเกจ Tailgate Event ที่จะปรับพื้นที่ห้องสัมภาระเป็นม้านั่งสันทนาการ โดยเพิ่มไฟส่องสว่าง, ลำโพง และเบาะหนังที่ห้องสัมภาระท้าย รวมถึงแพ็คเกจตกแต่งภายแบบอิสระ และชิ้นส่วนที่ผลิตจากงานแฮนด์เมดสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เลือกได้ไม่จำกัด
Range Rover ได้พัฒนาใหม่บนพื้นฐานจากแพลตฟอร์ม MLA-Flex ของ Land Rover ซึ่งจะสามารถรองรับขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายใน, ไฮบริด และ EV ในอนาคต รวมถึงประสิทธิภาพความปลอดภัยมากขึ้น รองรับอุปกรณ์สมัยใหม่มากมาย
ประกอบกับเครื่องยนต์ที่จะจำหน่ายจะแต่งไปจากตลาดในแต่ละประเทศ เช่น ในอเมริกาจะมีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน Ingenium ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี Mild-Hybrid และเทอร์โบชาร์จ สมรรถนะ 395 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 100 กม./ชม. ทำได้ภายใน 5.8 วินาที ในรุ่น P400
ส่วนรุ่น P530 ใช้เครื่องยนต์ V8 4.4 ลิตร ทวินเทอร์โบ สมรรถนะ 523 แรงม้า แรงบิด 749 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด อัตราเร่งจาก 100 กม./ชม. ทำได้ภายใน 4.6 วินาที
ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล จะมีในสเปคยุโรปในรูปแบบเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ 3.0 ลิตร ซึ่งมีทั้งรุ่น D300 กำลัง 296 แรงม้า อัตราเร่งจาก 100 กม./ชม. ใน 6.9 วินาที
และ D350 กำลัง 345 แรงม้า อัตราเร่งจาก 100 กม./ชม. ใน 6.1 วินาที
ขณะที่ตัวเลือกขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดได้เผยเพียงบางส่วน โดยจะจับคู่กับเครื่องยนต์ Ingenium 6 สูบเรียง กับแบตเตอรี่ 38.2 kWh และมอเตอร์ไฟฟ้า 105 kW ที่ติดตั้งในระบบเกียร์ โดยจะมีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นพื้นฐาน P440e กำลังรวม 434 แรงม้า และรุ่น P510e กำลังสูงสุด 503 แรงม้า อัตราเร่งจาก 100 กม./ชม. ทำได้ภายใน 5.6 วินาที แต่รุ่น PHEV ทั้งหมดจะมีเฉพาะรุ่นฐานล้อมาตรฐานเท่านั้น ส่วนขุมพลังไฟฟ้าที่มีแผนจะมาภายในปี 2024 เป็นต้นไป
ด้านช่วงล่างของ Range Rover ในรุ่นมาตรฐานจะได้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไม่ได้ทำงานตลอดเวลาผ่านตัวควบคุม Terrain Response โดยเพลาหน้าจะตัดการทำงานในความเร็วระหว่าง 33 ถึง 160 กม./ชม. ยกเว้นเมื่อคุณขับขี่ในอุณหภูมิที่อยู่จุดเยือกแข็ง หรือการยึดเกาะถนนที่จำกัด พร้อมเฟืองท้ายแบบแอคทีฟ
ระบบบังคับเลี้ยวที่ล้อหลังที่สามารถบังคับเลี้ยวได้ 7 องศาที่ความเร็วต่ำ และรักษาวงเลี้ยวให้ได้ภายใน 11 เมตร และหากขับขี่ด้วยความเร็วสูง ล้อหลังจะหมุนไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้าเพื่อเพิ่มทรงตัวที่ดีกว่าเดิม
โช้คอัพแบบถุงลม พร้อมเทคโนโลยีปรับช่วงล่างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์, ระบบป้องกันการโคลง รวมถึงเทคโนโลยีการอ่านสภาพถนนตรงหน้าเพื่อเซ็ตแชสซีส์และช่วงล่างให้พร้อมในการเกาะถนนแบบเรียลไทม์
ทั้งหมดนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับได้อย่างสบายใจทั้งเส้นทางขระขระ รองรับการลงน้ำลึกสุด 900 มม. และการขับขี่ในเมืองที่คล่องตัวไม่แพ้ใคร
และทางแผนก Land Rover Special Vehicle Operations นำเสนอ Range Rover SV ที่มาในรูปแบบเอสยูวีสี่ที่นั่งสุดหรูหราเหนือระดับ โดยมาพร้อมเบาะนั่งนวดแบบ 24 ทิศทาง ชิ้นส่วนเซรามิกและโลหะ, โต๊ะที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า เป็นต้น
2022 Range Rover ได้วางจำหน่ายแล้ว โดยได้ประกาศราคาจำหน่ายสเปคสหรัฐอเมริกา เริ่ม 104,000 ดอลลาร์ หรือราว ๆ 3.45 ล้านบาท ส่วนกำหนดการส่งมอบนั้นจะเริ่มที่ยุโรปก่อนในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2022 และสเปคสหรัฐฯ จะส่งมอบตามลำดับ
เครดิตข้อมูลจาก carscoops.com