J.D. Power เผยรายงาน ดัชนีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา หรือ US Tech Experience Index (TXI) ปี 2021 ที่ช่วยประเมินได้ว่านวัตกรรมสมัยใหม่ใดที่ตอบโจทย์การใช้งานและความคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งเป็นรายงานข้อมูลจากผู้ใช้จริง พบว่าเทคโนโลยีขั้นสูงมากกว่าหนึ่งในสามที่พบในรถยนต์ใหม่ มีเจ้าของน้อยกว่าครึ่งที่ใช้เทคโนโลยีนี้ใน 90 วันแรกของการเป็นเจ้าของ รวมถึงเทคโนโลยีที่หลายคนต้องการมากที่สุด แต่มีไม่กี่รุ่นที่ใส่มาให้
โดยในปัจจุบัน ต่างมีเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ ๆ ที่ถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคคนรุ่นใหม่มากขึ้น และสามารถดึงดูดใจผู้บริโภคได้ แม้ว่าจะส่งผลทำให้ราคาของรถต้องเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ช่วยให้เกิดความรู้สึกเป็นผู้นำเทคโนโลยี และให้ความรู้สึกที่คุ้มค่ากับการเป็นเจ้าของ แต่เมื่อหลังจากได้ใช้งานรถใหม่ไปได้สักระยะ บางอย่างก็ใช้งานจนคุ้ม แต่บางอย่างก็ไม่เคยใช้งาน หรือยังใช้งานไม่ถูกต้องจนต้องล้มเลิกไป จนกลายเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น
ด้วยการเก็บข้อมูลความคิดเห็น TXI เฉพาะเจ้าของรถยนต์ใหม่รุ่นปี 2021 ในสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการยืนยันแล้ว 110,827 คัน ซึ่งได้ทำการสำรวจหลังจาก 90 วันเป็นเจ้าของ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงกรกฎาคม 2564 ครอบคลุม 36 เทคโนโลยีที่แบ่งออกเป็นสี่รายการหลัก ได้แก่ ความสะดวก ระบบขับขี่อัตโนมัติที่เกิดขึ้นใหม่ พลังงานและความยั่งยืน และสาระบันเทิงกับการเชื่อมต่อ
เริ่มจากเทคโนโลยีที่ผู้ใช้รถต้องการมากที่สุดก็คือ กระจกมองหลังที่ฉายภาพจากกล้องมองหลัง กับกล้องมองพื้นด้านล่าง ที่จะสามารถตรวจจับจุดบอดด้านหลังได้ดียิ่งขึ้น
ส่วนเทคโนโลยีที่สร้างความประทับใจแก่ผู้ใช้รถก็คือ เทคโนโลยี One-Pedal Driving หรือระบบเร่ง-เบรกรถได้ด้วยการใช้แป้นคันเร่งอย่างเดียว ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หลายรุ่น ที่ช่วยให้ความสะดวกสบายแก่ผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี และทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และมีปัญหาการใช้งานต่ำ โดยเจ้าของรายงานปัญหาเพียง 8 ปัญหาต่อรถยนต์ 100 คัน
และเทคโนโลยีที่ผู้ขับขี่แทบไม่ได้ใช้เลย หรือมีปัญหาบ่อยจนแทบไม่ได้ใช้ก็คือ เทคโนโลยีการสั่งการด้วยการตรวจจับท่าทาง โดยไม่ต้องสัมผัส แม้จะเป็นระบบที่สร้างความสุกแก่เด็ก ๆ และผู้โดยสาร แต่เป็นสิ่งที่ยังไม่รู้สึกคุ้นชินแก่ผู้ขับขี่
หนำซ้ำยังมีปัญหาด้านการตรวจจับท่าทางในระหว่างการขับขี่บนท้องถนนพอสมควร โดยเจ้าของรถรายงาน 41 ปัญหาต่อ 100 คัน จึงทำให้ผู้ขับขี่เลือกใช้ระบบกดปุ่ม สัมผัส หรือออกคำสั่งเสียงที่รู้สึกคุ้นเคย แม่นยำ และสบายใจกว่า
การสำรวจพบว่าเจ้าของบางคนมองข้ามการใช้งานคุณลักษณะบางอย่างของรถ เช่น เทคโนโลยีการตลาดดิจิทัลในรถยนต์ 61% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าไม่เคยใช้เลย
แถมอุปกรณ์สื่อสารสำหรับผู้โดยสารในรถยนต์ก็ให้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกัน โดย 52% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าไม่เคยใช้เช่นกัน
นอกจากนี้ การแนะนำผลิตภัณฑ์ของพนักงานขายในโชว์รูมเองสามารถ “สร้าง” หรือ “ทำลาย” ประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีในรถยนต์ก่อนที่ส่งมอบแก่ลูกค้า ซึ่งผลการศึกษาพบว่าเมื่อตัวแทนจำหน่ายสาธิตคุณลักษณะของออพชั่นภายในรถอย่างถูกต้องและเรียลไทม์ ลูกค้าจะมีส่วนร่วม ใช้งานเป็น ใช้งานมากขึ้น และสร้างความพึงพอใจในการเข้าถึงเทคโนโลยีมากถึง 10%
และลูกค้าแนวโน้มที่จะได้รับรู้เทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ได้มากกว่าสองเท่า เมื่อเทียบกับการประกาศแนะนำผลิตภัณฑ์ผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเดียว
“เป็นเรื่องปกติถ้าเจ้าของได้รับความคุ้มค่าจากเงินของพวกเขา แต่ออพชั่นบางอย่างดูเหมือนจะทำให้เจ้าของหลายคนรู้สึกสูญเปล่า หากไม่ได้ใช้งาน” Kristin Kolodge ผู้อำนวยการบริหารส่วนต่อประสานเครื่องจักรกับมนุษย์ของ J.D. Power กล่าว “เทคโนโลยีสามารถดึงดูดเจ้าของรถได้ แต่ต้องสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ซื้อต้องการ เดิมพันพลาดในเวทีนี้มีสูง เจ.ดี. พาวเวอร์มีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตรถยนต์ได้รับผลกระทบจากผลกำไรและความเร็วในการขาย หากนำออพชั่นที่ไม่ตอบโจทย์การใช้งานโดยแท้จริงอยู่ในยานพาหนะของพวกเขา”
ผู้ผลิตรถยนต์ ต่างพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาบรรจุสู่รถยนต์รุ่นใหม่ เพื่อมอบประสบการร์การใช้งานที่สะดวกสบาย และนำเทรนด์ แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือการสร้างพื้นฐานการใช้งานที่ถูกต้องแก่ลูกค้าด้วยการแนะนำลองใช้งาน รวมถึงการสร้างประสบการณ์เข้าถึงเทคโนโลยีผ่านการทดลองขับ และการพัฒนาเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกที่ไม่รบกวนต่อการขับขี่หรือก่อให้เกิดอันตรายหากใช้ผิดวิธี
เพราะหากเจ้าของรถมองข้าม หรือต่อต้านการใช้เทคโนโลยีใหม่ ก็ไม่ต่างจากตำน้ำพริกละลายแม่น้ำที่ทำให้เจ้าของรถรู้สึกไม่คุ้ม และความสูญเปล่าของงบประมาณในการพัฒนาของค่ายรถอีกด้วย
เครดิตข้อมูลจาก jdpower.com