เอาใจคนรักความเร็วด้วยยนตรกรรมสปอร์ตสายสนามแข่ง ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด จัดงานเปิดตัวยนตรกรรมสปอร์ตสายสนามแข่ง The new 911 GT3 อย่างเป็นทางการครั้งแรก ด้วยการเนรมิตสนามบุรีรัมย์ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต พาลูกค้าผู้ที่หลงใหลในความสปอร์ตและความแรงไปสัมผัสสุดยอดประสบการณ์ในการขับทดสอบสมรรถนะของรถปอร์เช่ 911 จีที3 ใหม่ พร้อมคว้าทีมผู้เชี่ยวชาญการขับขี่รถยนต์ปอร์เช่ หรือ ปอร์เช่ อินสตรัคเตอร์ (Porsche Instructor) และนักแข่งรถมอเตอร์สปอร์ตมืออาชีพแถวหน้าของเมืองไทยมาให้คำแนะนำ และดูแลการขับขี่อย่างใกล้ชิด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน 2564 ณ สนามบุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่ผ่านมา
คุณปีเตอร์ โรห์เวอร์ กรรมการผู้จัดการ ปอร์เช่ ประเทศไทย กล่าวว่า “นับเป็นความภาคภูมิใจของเอเอเอสฯ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการ ที่ได้จัดงานเปิดตัวรถปอร์เช่ 911 จีที3 ใหม่ ขึ้นเป็นครั้งแรก ณ สนามแข่งมาตรฐานระดับโลก พร้อมด้วยการจัดกิจกรรมทดสอบสมรรถนะสำหรับลูกค้าปอร์เช่ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงประสบการณ์ความเร็วและเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของยนตรกรรมสปอร์ตสายสนามอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดรวมถึงเรียนรู้สมรรถนะของรถสปอร์ตคู่ใจ ในด้านต่าง ๆ พร้อมวิธีการขับขี่อย่างไรให้ปลอดภัย สุดท้ายนี้ผมหวังว่าทุกท่านจะได้รับความสุข และความประทับใจกลับไปจากงานในวันนี้”
สำหรับกิจกรรม The Exclusive Launch of the new 911 GT3 นับเป็นสุดยอดประสบการณ์ในการขับทดสอบสมรรถนะสุดเร้าใจหลังพวงมาลัยของยนตรกรรมสปอร์ตสายสนามแข่งระดับตำนานอย่าง The new Porsche 911 GT3 ที่เอเอเอสฯ ได้จัดขึ้นเพื่อลูกค้าปอร์เช่ โดยเฉพาะ ตอกย้ำนโยบาย “เอเอเอสฯ ดูแลทั้งรถและคุณ (AAS Looking After You and your CAR)” พร้อมทั้งรังสรรค์โปรแกรมสุดพิเศษให้เหมาะสมกับการขับขี่เพื่อเสริมสร้างทักษะในการควบคุมรถยนต์ให้การขับขี่เป็นไปอย่างปลอดภัยภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ โดยเน้นนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนามาจากรถแข่งในกีฬามอเตอร์สปอร์ต ซึ่งถูกถ่ายทอดมาไว้ในรถยนต์ปอร์เช่ทุกคัน และเพื่อให้การขับขี่เป็นไปอย่างเต็มสมรรถนะและปลอดภัยมากที่สุด
โดยเหล่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกท่านจะได้รับการถ่ายทอดข้อมูลและความรู้เบื้องต้นในการขับขี่รถปอร์เช่ 911 จีที3 ใหม่ จากปอร์เช่ อินสตรัคเตอร์ ก่อนการลงขับทดสอบสมรรถนะจริงในสนาม บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต อีกด้วย
โปรแกรมการขับขี่ที่เหล่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ทดสอบบนสนาม คือสถานีการขับขี่ 4 สถานี ที่ผู้เชี่ยวชาญการขับขี่รถยนต์ปอร์เช่ได้ออกแบบไว้ ได้แก่ สถานี “Handling” ผู้ขับขี่จะได้สัมผัสถึงอาการของรถเมื่อมีการเปลี่ยนทิศทางหรือการเลี้ยวอย่างรวดเร็ว ในสถานีนี้จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการยึดเกาะถนนและระบบช่วงล่างของรถยนต์ Porsche ได้เป็นอย่างดี
สถานี “Slalom” และ “Launch Control” ในสถานีนี้ผู้ขับขี่จะได้พบกับความแรงในการออกตัวสุดเร้าใจและระบบเบรกที่มีความปลอดภัยสูงสุดของรถยนต์ ควบคู่กับการได้เรียนรู้วิธีการควบคุมรถยนต์โดยใช้พวงมาลัยหักหลบสิ่งกีดขวางบนถนน พร้อมกับการควบคุมทิศทางที่แม่นยำและความคล่องตัวของรถขณะเข้าโค้งทางแคบด้วยความเร็ว รวมถึงศักยภาพการทรงตัวของรถยนต์ปอร์เช่ที่เป็นเลิศ
อีก 1 สถานีไฮไลท์ ที่สร้างความตื่นเต้นให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้แก่ สถานี “Taxi Laps” ซึ่งเป็นสถานีพิเศษเอาใจผู้เข้าร่วมงานทุกท่านรวมถึงผู้ติดตามให้ได้ร่วมสนุกกับการนั่งทดสอบสมรรถนะของรถแข่ง Porsche 911 GT3 R
ส่งท้ายกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้ด้วยการมอบรางวัลให้กับผู้ที่สามารถทำเวลาได้ดีที่สุด 2 ท่านใน สถานี “Slalom” นั่นคือโมเดลรถปอร์เช่ จีที3 สี Silver Metallic รวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท ให้ผู้ชนะกับไปเป็นที่ระลึกถึงความประทับใจ
The new Porsche 911 GT3
ปอร์เช่ 911 จีที3 ใหม่ ได้รับการเสริมอุปกรณ์ทางเทคนิคที่โดดเด่นในขั้นตอนการพัฒนาทีมงานวิศวกรปักธงไว้ที่จุดประสงค์หลักหนึ่งเดียว คือ ยกระดับขีดความสามารถด้านสมรรถนะของยนตรกรรมสปอร์ตพลังแรงโดยไม่ลดทอนอรรถประโยชน์ความสะดวกสบายในการใช้งานประจำวันลงการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างบรรดาช่างเทคนิคจากสายการผลิตปกติและเหล่าบุคลากรผู้เชี่ยวชาญจากแผนกมอเตอร์สปอร์ต เพื่อภารกิจสุดยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความสำคัญนี้โดยเฉพาะ
ซึ่งปอร์เช่ 911 จีที3 ใหม่ ได้รับการพัฒนาจากทีมงานวิศวกรชุดเดียวกับที่พัฒนารถแข่งสายสนามเข้ามาร่วมออกแบบยนตรกรรม จีที (GT) คันใหม่ สำหรับใช้บนถนนสาธารณะส่งผลให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็วราวกับจินตนาการ
การพัฒนาเครื่องยนต์ความจุ 4 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศที่ให้รอบการทำงานสูงในรูปแบบ high-revving เป็นภารกิจที่จำเป็นต้องใช้เวลามากยิ่งขึ้น ในภาพรวมเครื่องยนต์ของปอร์เช่ 911 จีที3 ใหม่ มีอายุการใช้งานยาวนานมากกว่า 22,000 ชั่วโมงบนแท่นทดสอบ พร้อมจำลองสถานการณ์การขับขี่ที่ต้องใช้ในสนามแข่งและเร่งเครื่องยนต์จนเต็มกำลังแทบจะตลอดเวลาที่ทดสอบ เครื่องยนต์สามารถตอบสนองอย่างฉับไวทันทีที่เหยียบคันเร่ง
ด้วยพื้นฐานจากขุมพลังของรถแข่ง 911 จีที3 อาร์ (911 GT3 R) และรถแข่ง 911 จีที3 คัพ (911 GT3 Cup) พกพาพละกำลังติดตัว 510 แรงม้า (375 กิโลวัตต์) มากกว่า จีที3 (GT3) รุ่นก่อนหน้า 10 แรงม้า กำลังสูงสุดจะออกมาในรอบการทำงานของเครื่องยนต์ที่ 8,400 รอบ/นาที และระบบจำกัดรอบอิเล็กทรอนิกส์จะยอมให้ทำรอบต่อไปจนตัดการทำงานที่ 9,000 รอบ/นาที
ในส่วนของแรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าจาก 460 เป็น 470 นิวตันเมตร เช่นเดียวกับรถแข่งในวงการมอเตอร์สปอร์ต การทำงานอันแม่นยำและเที่ยงตรงของวาล์วที่รอบเครื่องยนต์สูงเกิดขึ้นจากระบบกระเดื่องกดวาล์ว rocker arms ที่แข็งแกร่ง เทคโนโลยีวาล์วแปรผัน VarioCam ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถควบคุมการทำงานของเพลาลูกเบี้ยวให้ตอบสนองต่อรอบการทำงาน และรับภาระเครื่องยนต์
แบริ่งเพลาข้อเหวี่ยงขยายขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางแบริ่งก้านสูบกว้างขึ้น และผนังกระบอกสูบเคลือบสารพลาสมาเพื่อลดการสูญเสียกำลังรวมทั้งลดการสึกหรอจากแรงเสียดทานที่ต่ำลง ระบบลิ้นปีกผีเสื้อแยกอิสระซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากรถแข่งให้การตอบสนองที่ รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น อัตราเร่งที่รวดเร็วทั้งในแนวตั้งชันและแนวราบที่ปอร์เช่ 911จีที3 ใหม่ ทำได้บนสนามแข่ง
หมายความว่าน้ำมันเครื่องรอบจัดเช่นนี้ที่ต้องจ่ายให้เครื่องยนต์รอบจัดเช่นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับรถแข่งที่มีการหล่อลื่นเครื่องยนต์รับหน้าที่ด้วยระบบ dry-sump ซึ่งมีอ่างน้ำมันเครื่องแยกด้วยการทำงานของจังหวะดูดน้ำมันเครื่องรวมทั้งสิ้น 7 ขั้นตอนส่งผลให้น้ำมันเครื่องถูกส่งกลับไปยังอ่างอย่างรวดเร็วและ มีประสิทธิภาพ
ในส่วนของการหล่อลื่นก้านสูบที่จำเป็นต้องรับภาระอย่างหนักนั้นเป็นหน้าที่ของปั้มน้ำมันเครื่องส่งต่อจากเพลาข้อเหวี่ยงโดยตรง เครื่องยนต์ที่ประจำการอยู่ในรถแข่งปอร์เช่ 911 จีที3 คัพ นั้นมีอุปกรณ์ที่แตกต่างจากเครื่องยนต์บล็อกนี้แค่ 2 อย่างนั่นคือระบบระบายไอเสียและกล่องสมองกลควบคุมเครื่องยนต์ นอกจากนั้นเหมือนกันแทบทุกประการ
เครื่องยนต์ของ Porsche 911 GT3 แสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ด้วยความเชี่ยวชาญของทีมงานวิศวกรและนักทดสอบฝีมือดีจากปอร์เช่ที่ได้ทำการทดสอบด้านมลภาวะถึง 600 รูปแบบ ในระหว่างกระบวนการพัฒนาเพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องยนต์บล็อกนี้จะผ่านมาตรฐานข้อกำหนดที่เข้มงวดรวมถึงมาตรฐานท่อไอเสียอันเคร่งครัดที่ถูกบังคับใช้ในเชิงของความทนทาน ซึ่งต้องทำงานได้อย่างไร้ที่ติ ด้วยความต่อเนื่องยาวนานเป็นระยะทางมากกว่า 5,000 กิโลเมตร บนสนามรูปวงรีที่ Nardo ประเทศอิตาลี ขณะที่ทำความเร็วคงที่ที่ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมงและหยุดพักเพื่อเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเท่านั้น