ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กำลังส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนไทยและผู้คนทั่วโลก มาสด้าขอส่งกำลังแรงใจไปยังบุคลากรทางด้านสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน รวมทั้งประชาชนชาวไทยทุกคนขอให้ทุกคนเข้มแข็งและอดทนเราจะจับมือก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ที่สำคัญมาสด้าขอขอบคุณลูกค้าทั่วประเทศที่ให้ความเชื่อมั่นในแบรนด์มาสด้า
ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรก 2564 มาสด้าสามารถส่งมอบรถยนต์รุ่นใหม่ให้กับลูกค้าไปแล้วกว่า 19,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 23% (เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา) โดยเฉพาะรถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุด CX-3 และ CX-30 ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดตัวแนะนำลงสู่ตลาด
พร้อมประกาศยุทธศาสตร์แผนบริหารธุรกิจในครึ่งปีหลังด้านผลิตภัณฑ์เตรียมบุกตลาดด้วยรถยนต์รุ่นใหม่และรถอเนกประสงค์เอสยูวีเสริมทัพอีกเพียบ เดินหน้าปรับนโยบายการบริหารงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของลูกค้าและผู้จำหน่ายให้สามารถก้าวผ่านวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกัน
นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนและขยายออกไปเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้บริโภคต้องหันมาระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายมากขึ้นกว่าเดิม จนส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นยอดจำหน่ายรถยนต์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 จึงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมมียอดสะสมอยู่ที่ 370,000 คัน (ประมาณการ) อย่างไรก็ตามยังสามารถบวกเพิ่มขึ้นถึง 14% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2563 ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าสถานการณ์ของตลาดรถยนต์จะค่อยๆ กลับมาดีขึ้น คาดว่ายอดขายรวมจะไปถึง 800,000 คัน ในขณะที่มาสด้าก็ตั้งเป้าหมายไว้สูงเช่นกันที่ 50,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 30%
ในขณะที่ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 มาสด้ามียอดจำหน่ายรวมอยู่ที่ 18,908 คัน เพิ่มขึ้น 23% โดยรถยนต์นั่งมียอดจำหน่ายรวมอยู่ที่ 10,895 คัน เพิ่มขึ้น 3% แบ่งออกเป็น Mazda2 จำนวน 9,622 คัน เพิ่มขึ้น 3% Mazda3 จำนวน 1,270 คัน เพิ่มขึ้น 1% และ Mazda MX-5 รถสปอร์ตเปิดประทุนมียอดขาย 3 คัน
ในขณะที่รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวีมียอดจำหน่ายรวมที่ 7,347 คัน เพิ่มขึ้น 83% โดย Mazda CX-30 ยังคงได้รับความนิยมสูงสุดด้วยยอดจำหน่าย 4,194 คัน เพิ่มขึ้นถึง 124% ตามมาด้วย Mazda CX-3 จำนวน 2,231 คัน เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 299% ในขณะที่ Mazda CX-8 มียอดจำหน่ายที่ 532 คัน ลดลง 26%, Mazda CX-5 จำนวน 390 คัน ลดลง 54% ส่วนปิกอัพ Mazda BT-50 มียอดจำหน่าย 666 คัน ลดลง 16%
“จากยอดจำหน่ายข้างต้น เมื่อแบ่งออกเป็นรายไตรมาสจะพบว่ายอดขายไตรมาสแรกระหว่างมกราคม – มีนาคม 2564 มีจำนวน 10,890 คัน เพิ่มขึ้น 7% ส่วนไตรมาสที่สองระหว่างเมษายน – มิถุนายน 2564 มีจำนวน 8,018 คัน เพิ่มขึ้นถึง 53% ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของตลาด นับเป็นหนึ่งในสัญญาณบวกว่าความต้องการซื้อรถยนต์ในประเทศยังคงมีอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องคอยติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มทิศทางและนำมาปรับกลยุทธ์เพื่อประคับประคองธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังให้เดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่วางไว้” นายชาญชัย กล่าวเพิ่มเติม
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส กล่าวถึงกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 แม้จะอยู่ในช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ว่า ชาวมาสด้าทุกภาคส่วนขอส่งกำลังแรงใจไปยังพี่น้องคนไทยและผู้ประกอบการทุกท่านให้ก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันอีกครั้ง
สำหรับมาสด้าได้มีการปรับแผนงานเพื่อให้สอดรับกับเหตุการณ์ควบคู่ไปกับการสร้างแผนธุรกิจแบบเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อเตรียมพร้อมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลังวิกฤตเริ่มคลี่คลายมาสด้าได้ประสานความร่วมมือกับผู้จำหน่ายทั่วประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับนโยบายแบบเร่งด่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุดไปยังลูกค้า ทั้งการเอาใจใส่ดูแลลูกค้าปัจจุบันให้ดีที่สุด โดยเฉพาะมาตรการเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้า
รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยร่วมมือกับทางบริษัทไฟแนนซ์ที่จะเข้ามาซัพพอร์ต อาทิ เงินดาวน์น้อย ขยายระยะเวลาการผ่อนชำระให้ยาวนานที่สุด อัตราดอกเบี้ยต้องต่ำสุด ซึ่งหลายรุ่นมาสด้าจัดดอกเบี้ย 0% รวมถึงการผ่อนชำระต่องวดให้น้อยที่สุด เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้าและสามารถนำรถไปประกอบกิจการให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจากนี้ นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ยังได้กำหนดยุทธศาสตร์การบริหารงานเพื่อให้เกิดการเติบโตในช่วงวิกฤต เพราะในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ โดยมาสด้าได้เตรียมความพร้อมทางด้านกลยุทธ์การบริหารงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 เพื่อรับมือกับสถานการณ์และวางรากฐานผลักดันให้องค์กรเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ด้วย 6 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1.ด้านผลิตภัณฑ์ใหม่
เตรียมพร้อมลุยตลาดอย่างเต็มกำลังด้วยการนำเสนอรถยนต์นั่งและรถเอสยูวีรุ่นใหม่ ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันทันสมัย ตอบรับวิถีชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่และสร้างความแตกต่างในตลาด ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและผลักดันให้มาสด้าเดินหน้าไปสู่เป้าจำหน่ายที่วางไว้ได้
2.ด้านนโยบายส่งเสริมผู้จำหน่าย
ปรับนโยบายการบริหารจัดการให้เหมาะสมกับสถานการณ์และให้การสนับสนุนด้านการขายกับผู้จำหน่ายในแต่ละพื้นที่ โดยทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดภายใต้แนวทางการทำงานเป็นทีม ONE MAZDA เพื่อให้ผู้จำหน่ายถ่ายทอดไปยังลูกค้าให้เกิดประโยชน์สูงสุดและก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปได้ด้วยกัน
3.ด้านการตลาดและการสื่อสาร
ดึงกลยุทธ์การตลาดแบบออนไลน์มาเป็นแกนหลักในการสื่อสารผ่าน Mazda Online Platform หรือโซเชียลมีเดีย เพิ่มการนำเสนอรูปแบบใหม่ ๆ ผ่านสื่อดิจิทัล ส่งเสริมให้ผู้จำหน่ายทำกิจกรรมผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
4.ด้านการส่งเสริมการขาย
จัดแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้าได้ง่ายขึ้น รวมถึงทำงานร่วมกับสถาบันทางการเงินในเรื่องของการปล่อยสินเชื่อเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันมากที่สุด รวมถึงจัดแคมเปญให้เหมาะสมสำหรับรถแต่ละรุ่น โดยร่วมมือกับพันธมิตรและผู้จำหน่ายจัดกิจกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด
5.ด้านเทคโนโลยี
การวางรากฐานการทำงานระยะยาวให้เกิดความยั่งยืน ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการบริหารงานและติดต่อสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยเฉพาะผู้จำหน่ายต้องปรับตัวเข้ากับการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัล มาสด้าต้องเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมรับมือกับเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคตที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดประเทศไทยในเร็ว ๆ นี้
6.ด้านบริการหลังการขาย
ยกระดับและพัฒนาการบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและต้องมีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ โดยเฉพาะแผนการขยายเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการ รวมถึงศูนย์บริการแบบ MAZDA FAST SERVICE ตรวจเช็กตามระยะแบบเร่งด่วนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รองรับปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ลดการรอคิว และอำนวยความสะดวกรวดเร็วให้กับลูกค้าที่มาเข้ารับบริการ
นอกจากนี้ มาสด้ายังมอบโปรโมชั่นสุดพิเศษเพื่อให้ลูกค้าสามารถออกรถและเป็นเจ้าของรถมาสด้าทุกรุ่นได้ง่ายขึ้น ภายใต้แคมเปญ BEST DEAL ในระหว่างวันที่ 10 – 18 กรกฎาคม 2564 ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0% ผ่อนนานสูงสุด 60 เดือน พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง รับทันทีเครื่องฟอกอากาศ SHARP มูลค่า 2,990 บาท พิเศษสุดเฉพาะลูกค้าที่จองซื้อ CX-5 และ CX-8 (จำนวนจำกัด เฉพาะรุ่น) เลือกรับดอกเบี้ย 0% นาน 84 เดือน หรือผ่อนเริ่มต้นเพียง 15,000 บาทกว่าบาท (อย่างใดอย่างหนึ่ง) พร้อมคูปองน้ำมันมูลค่า 10,000 บาท ณ โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ