McLaren McLaren Artura Plug-In Hybrids ซูเปอร์คาร์ ปลั๊กอินไฮบริด รถใหม่ ราคารถใหม่ แมคลาเรน

McLaren Artura ถึงไทยแล้ว ตอกย้ำยุคแห่ง PHEV พร้อมจับจองใน 16.7 ล้านบาท

McLaren Bangkok เปิดตัว McLaren Artura อย่างเป็นทางการ ซูเปอร์คาร์ PHEV 680 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.0 วินาที และกินน้ำมันเพียง 5.6 ลิตร/100 กม.

Home / AUTO / McLaren Artura ถึงไทยแล้ว ตอกย้ำยุคแห่ง PHEV พร้อมจับจองใน 16.7 ล้านบาท

McLaren Bangkok ตอกย้ำยุคสมัยใหม่ของยานยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทยด้วยการนำเสนอซูเปอร์คาร์ปลั๊กอินไฮบริดสมรรถนะสูงรุ่นแรกของแบรนด์มาให้แฟน ๆ ชาวไทยได้สัมผัสก่อนใครในภูมิภาคอาเซียน ด้วยการเปิดตัว All-New McLaren Artura อย่างเป็นทางการ พร้อมเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้

McLaren Artura

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2021 ที่ผ่านมา McLaren Artura ได้รับการเปิดตัวในฐานะรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดสมรรถนะสูงที่พัฒนาขึ้นเป็นรุ่นแรกจากแมคลาเรน ออโตโมทีฟ ที่จะตอบสนองผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ที่ต้องการซูเปอร์คาร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ปล่อยไอเสียต่ำ แต่ยังคงให้สมรรถนะที่สมบูรณ์แบบ การควบคุมอันยอดเยี่ยมทั้งการขับขี่ในชีวิตประจำวันและในสนามแข่ง และสะท้อนถึงประสบการณ์อันเชี่ยวชาญตลอดระยะเวลา 50 ปีที่พัฒนาจากรถแข่งสู่ซูเปอร์คาร์ที่แฟน ๆ ทั่วโลกต่างยอมรับ

McLaren Artura

ซึ่งตัวรถได้รับการออกแบบ และพัฒนาขึ้นที่ศูนย์ McLaren Composites Technology Center (MCTC) เมืองเชฟฟิล ประเทศอังกฤษ ประกอบกับตัวรถได้ใช้แพลตฟอร์มใหม่ล่าสุด McLaren Carbon Lightweight Architecture (MCLA) เป็นรุ่นแรกของโลก ด้วยโครงสร้างตัวถังน้ำหนักเบา ที่ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ และอะลูมิเนียม ขณะที่อัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักอยู่ที่ 488 แรงม้าต่อน้ำหนัก 1 ตันเท่านั้น (คำนวณจากน้ำหนักรถเปล่าที่ 1,395 กิโลกรัม)

McLaren Artura

มาพร้อมระบบขับเคลื่อนไฮบริด ด้วยเครื่องยนต์ V6 ความจุ 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ “M630” แบบวางกลางลำตัวรถ ใมอบสมรรถนะสูงสุด 585 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 585 นิวตันเมตร ผสานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 95 แรงม้า และแรงบิด 225 นิวตันเมตร

เมื่อรวมกำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า สามารถสอบสมรรถนะสูงสุดเฉลี่ย 680 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 720 นิวตันเมตร จับคู่ด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ SSG 8 สปีด ใหม่ล่าสุด

McLaren Artura

เมื่อผสานกับตัวถังที่น้ำหนักเบา ทำให้ McLaren Artura มอบอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.0 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ภายใน 8.3 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 330 กม./ชม.

รวมถึง McLaren Artura มีโหมดการขับขี่ให้เลือกได้ทั้ง Comfort, Sport และ Track modes เอาใจสายแข่งโดยเฉพาะ ส่วนโหมด Electric จะใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% เท่านั้น โดยสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 130 กม./ชม. เหมาะกับการขับขี่ในเมืองได้เป็นอย่างดี

McLaren Artura

และที่ขาดไม่ได้คือชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 7.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถวิ่งในโหมด EV ได้ในระยะทาง 30 กม./ชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง

หนึ่งในความภาคภูมิใจของ McLaren Artura คืออัตราการบริโภคน้ำมันที่ต่ำกว่าซูเปอร์คาร์จากแมคลาเรนที่เคยผลิตมา ด้วยอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย 5.6 ลิตร/100 กม. และอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพียง 129 กรัม/กม. (อ้างอิงมาตรฐานจาก WLTP) 

McLaren Artura

สำหรับระบบช่วงล่างเองนั้นได้รับการออกแบบใหม่โดยเฉพาะ เริ่มจากช่วงล่างล้อหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ อะลูมิเนียม ส่วนล้อหลังใช้ปีกนกด้านบนและมัลติลิงค์ด้านล่าง, พวงมาลัยผ่อนแรงด้วยไฮดรอลิกและระบบไฟฟ้า ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ พร้อมล้ออัลลอยคู่หน้าขนาด 19 นิ้ว และคู่หลังขนาด 20 นิ้ว หุ้มยางสมรรถนะสูง Pirelli P ZERO ที่ล้อหน้า 235/35 ZR19 และล้อหลัง 295/35 R20

McLaren Artura ยังคงถ่ายทอดการดีไซน์ตัวถังรถอันเป็นเอกลักษณ์ และให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงกดอากาศที่ยอดเยี่ยม ออพชั่นภายนอกสำหรับขับขี่บนท้องถนนที่ครบครัน พร้อมกับชิ้นส่วนตกแต่งรถที่คำนึงถึงน้ำหนักตัวถัง และความสวยงามทั้งภายนอกและภายใน

McLaren Artura

ทางด้านการตกแต่งภายในถ่ายทอดเอกลักษณ์ ภายใต้ปรัชญาการออกแบบ “form follows function” เน้นประโยชน์ใช้สอย และผู้ขับขี่สามารถควบคุมปุ่มสั่งงานได้ทั้งหมด, เรือไมล์จอดิจิทัลพร้อมแสดงข้อมูลการขับขี่เต็มรูปแบบ, หน้าจอสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 8 นิ้ว รองรับระบบอินโฟเทนเมนต์ และระบบช่วยขับขั้นสูง (ADAS) 

McLaren Artura

รวมถึงเทคโนโลยีการเชื่อมต่อสื่อสาร ระบบแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟน (Smartphone Mirroring) และการอัปเดตข้อมูล – ระบบปฎิบัติการผ่านดาวเทียม (Over the Air หรือ OTA) นอกจากนี้ยังได้รับระบบติดตามยานพาหนะเมื่อถูกโจรกรรม (ออพชั่นนี้ขึ้นอยู่กับตลาดแต่ละประเทศ)

McLaren Artura

โดย McLaren Artura สามารถเป็นเจ้าของได้ในราคา 16,700,000 บาท พร้อมการรับประกันตัวรถ 5 ปี หรือ 75,000 กม. และรับประกันแบตเตอรี่ 6 ปี หรือ 75,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) พร้อมส่งมอบรถภายในเดือนตุลาคมปีนี้เป็นต้นไป