มีคำถามง่ายๆ ว่า “ถ้าต้องดูแล 2 สิ่งที่รักไปพร้อมๆ กันโดยไม่ทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะทำอย่างไร” ถ้าใครยังไม่มีคำตอบ ก็มาตามหาได้จากคุณเก้ง – พัทธนันท์ อัศวรางกูร กับตัวอย่างจุดสมดุลในชีวิต ระหว่างการทำหน้าที่สามีควบตำแหน่งคุณพ่อ โดยไม่ขาดกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมที่ตัวเองรัก และเชื่อว่าทุกๆ คนก็สามารถจัดการได้ไม่ต่างกัน
เราได้นั่งคุยกับคุณเก้ง ชายหนุ่มน้ำเสียงนุ่ม อบอุ่น ที่แสดงท่าทีท่าทีกระฉับกระเฉงทันที เมื่อถามถึงการบริหารเวลาชีวิตในปัจจุบัน
“ผมได้ยินคนพูดเสมอว่าไม่มีเวลาหรอก แต่ต้องยอมรับว่าทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันหมด โอเค โฟกัสสำหรับผมคือเรื่องงานในฐานะหัวหน้าครอบครัว ในฐานะคุณพ่อของลูก ดั้งนั้นไลฟ์สไตล์ความชอบกีฬาต่างๆ มอเตอร์ไซค์ ก็ต้องตามหลัง ผมจะมาเล่นอย่างเดียว แข่งอย่างเดียว เหมือนแต่ก่อน คงไม่ได้ ต้องให้เวลากับครอบครัวเป็นหลักไว้ก่อน ส่วนเวลาที่เหลือก็พยายามบริหารไว้สำหรับทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบ”
ส่วนเทคนิคการแบ่งเวลาของคุณเก้งก็ไม่ได้พิเศษไปกว่าใคร ถ้าจะอ้างว่าไม่มีเวลา ต้องทำงาน ต้องดูลูก บลา บาๆๆๆ ขอให้ลองฟังตรงนี้ก่อน
“จริงๆ แล้วผมเป็นพนักงานประจำ เข้างานแปดโมงครึ่งเลิกห้าโมงเหมือนใครหลายๆ คน เพราะฉะนั้นหลังเลิกงาน อาจเหนื่อยนิดหนึ่ง ในการอยู่กับลูกตอนเย็นถึงเกือบสองทุ่มกว่าเขาจะเข้านอน ถึงจะเป็นเวลาของผม บางครั้งเลยต้องมาปั่นจักรยานบนเทรนเนอร์ หรือออกไปวิ่งแถวบ้านในซอยหลังจากเวลานั้น
อย่างก่อนไป “BMW Berlin Marathon” เสาร์-อาทิตย์ จะมีเวลาไปซ้อมวิ่งตามสวนสาธารณะ แต่ถ้าจะให้ซ้อมแค่สองวันเสาร์ อาทิตย์ ไม่พอแน่ๆ ก็ต้องใช้เวลาหลังเด็กๆ หลับแล้ว ไปวิ่งในซอยให้ได้สิบโลก็ยังดี หรือตอนเช้า ปกติลูกสาวจะตื่นหกโมงครึ่ง เราก็จะตื่นพร้อมเขาแล้วออกไปทำงานเลย เพื่อไปเขายิมแถวๆ ออฟฟิศ เจ็ดโมงถึงแปดโมง เสร็จแล้วอาบน้ำ แปดโมงครึ่งก่อนเก้าโมงก็เริ่มงาน
เพราะฉะนั้นเวลาเล็กๆ น้อยๆ ช่วงเช้า ช่วงเย็น เราสามารถเก็บเล็กผสมน้อยตรงนี้ได้ ผมจึงเชื่อว่าทุกคนก็น่าจะทำได้เหมือนกัน”
ยิ่งพอได้คุยย้อนไปถึงวัยแตกเนื้อหนุ่ม คุณเก้งถือว่าเป็นเจ้าพ่อกีฬาเอ็กซ์ตรีมสายโหดดีๆ นี่เอง โดยความชอบนั้นเริ่มจากวิ่งทางเรียบ ตามติดด้วยการปั่นจักรยานทั้งเสือหมอบเสือภูเขา ลามถึงไตรกีฬา และดูเหมือนว่าชั่วโมงนี้การวิ่งเทรลคือสิ่งที่ใช่ เพราะให้ประสบการณ์ที่สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ สำคัญสุด ได้รู้จักจิตใจตัวเองอย่างที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน ด้วยพื้นฐานความชอบธรรมชาติ และการผจญภัย และนี่คือประกินใจ ที่กระตุ้นต่อมความกล้าให้คนที่ฟังได้ลุกขึ้นมาชาเลนจ์ตัวเองดูบ้าง
“การวิ่งอัลตราเทรล เป็นการพาร่างกายไปในที่ที่ไม่เคยไป พาจิตใจไปไหนที่ที่ไม่เคยหยั่งถึง แล้วเป็นยังนั้นจริงๆ”
อีกหนึ่งสิ่งที่คุณเก้งโปรดปรานไม่แพ้กันคือการขี่มอเตอร์ไซค์ เรียกได้ว่าจับมาหมดทุกสายตั้งแต่วัยรุ่น ก่อนสุดท้ายมาลงตัว กับการขี่แบบทัวร์ริ่งสมวัย
“ตรงนี้ต้องแชร์ให้ฟังเลยว่าตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเริ่มขี่มอเตอร์ไซค์ ตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ผมซื้อหมวกกันน็อคมาวางไว้ที่บ้านก่อนเลย เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็น จนท่านถามว่า ซื้อหมวกกันน็อคมาทำไม ผมตอบเลยว่า ผมอยากขี่มอเตอร์ไซค์ แต่ให้เขามั่นใจได้ว่าผมไม่ได้เป็นแนวไปซิ่ง ผมรู้จักดูแลตัวเองด้วย เรียกว่าไม่ให้เขาเป็นห่วงแล้วกัน”
สำหรับผู้ชาย หรือเด็กผู้ชายที่โตขึ้นมาแล้วจุดหนึ่งอยากมีอิสรภาพ ที่สามารถไปไหนมาไหนได้ แล้วก็อารมณ์ที่เรียกว่า “ลมปะทะหน้า” กับการขี่มอเตอร์ไซค์ อยากให้ลองนึกถึง สุนัขที่นั่งในรถแล้วเอาหน้าโผล่ออกมานอกหน้าต่าง คนเขาบอกว่ามีเฉพาะสุนัขและคนขี่มอเตอร์ไซค์เท่านั้นที่จะรู้สึกถึงความสุขแบบนี้ บางทีอากาศเย็นๆ แล้วเราได้แง้มหน้ากากหมวกกันน็อคให้ลมเข้า มันก็เป็นอะไรที่ เออ…นี่แหละอิสรภาพ เป็นอิสระ ที่ทำให้เราอยากออกไปบนท้องถนน”
โดยมีคันโปรดจอมลุยระดับโลกอย่าง “BMW R 1200 GS” เป็นเพื่อนรู้ใจทะยานไปในทุกเส้นทาง โดยคุณเก้งบอกสาเหตุที่หลงรัก BMW R 1200 GS ว่า
“แน่นอนว่าถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์สายทัวร์ริ่ง ท่องเที่ยว GS เป็นหนึ่งในตองอู เป็นที่หนึ่งของโลก เพราะ BMW กับการพัฒนา GS สามารถตอบโจทย์นักเดินทาง หรือว่าการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์มาโดยตลอด เพราะฉะนั้นในเรื่องการดีไซน์ช่วงล่าง การขับเคลื่อน ไม่ว่าจะรุ่นที่ทำด้วยเพลา หรือด้วยโซ่ก็แล้วแต่ ทำให้การเดินทางนุ่มนวลขึ้น หลายคนจะทราบว่าถ้ามาสายนี้ สุดท้ายแล้วจบที่ GS ทุกคน แต่ว่าจะเป็นรุ่นไหน คันใหญ่คันเล็กเท่านั้น”
จากนั้นประสบการณ์และความประทับใจเมื่อได้เดินทางไปกับ GS ก็ถูกเล่าออกมาจากปากของคุณเก้ง ซึ่งทุกคำพูด สีหน้า แววตา นั้น บ่งบอกถึงความสุข จากความชอบอย่างจริงใจ โดยฉพาะกับทริประยะเกือบสองสัปดาห์ ในการขี่ข้ามประเทศจุดหมายปลายทางไกลถึงเวียดนาม หรือการแบกสองล้อคู่ใจขึ้นรถไฟจากหัวลำโพง เพื่อไปสตาร์ทอิสรภาพแห่งการเดินทางที่จังหวัดแพร่ ซึ่งคุณเก้งยังฝากคำแนะนำถึงใครที่อยากจะลองขับขี่มอเตอร์ไซค์แนวนี้ดูบ้าง
“สำคัญที่สุดคือเรื่องของความปลอดภัย อย่าให้คนที่บ้านเป็นห่วง พ่อแม่ครอบครัว เพราะฉะนั้นอุปกรณ์สำคัญ และการเข้าคอร์สฝึกฝนการขับขี่อย่างถูกกิจลักษณะ เป็นสิ่งที่ควรทำ อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ทัศนคติในการขี่รถมอเตอร์ไซค์ อย่าทำให้สังคมเขาเห็นว่า คนขี่มอเตอร์ไซค์ คนขี่บิ๊กไบท์ เป็นอันธพาลหรือต้องการขี่เป็นเจ้าถนน อยากให้ทำให้สังคมได้เห็น ในกลุ่มคนขี่บิ๊กไบท์ ก็เป็นกลุ่มคนที่ดีในสังคมเหมือนกัน คือการขับขี่เป็นระเบียบเรียบร้อย เราต้องการขี่ไปเที่ยว ไม่ได้ต้องการจะไปป่วนใครครับ”
หลังจากบอกลาหนุ่มคนนี้ เราก็นึกถึงคำถามข้างต้นขึ้นมาได้ทันที ซึ่งมั่นใจว่าคำตอบที่เราได้ก็คือ “เราจะมีเวลาให้สิ่งที่เรารักได้เสมอ”