Error Grammar ข้อสอบ ข้อสอบ Error Identification ข้อสอบ GAT พิชิต Error

พิชิต Error เลิกเอ๋อด้วย 3 Steps

ไม่น่าเชื่อว่า Grammar ที่เด็กไทยเรียนกันอย่างบ้าคลั่ง ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทองมาตั้งแต่ป.1 กลับเป็นสิ่งหนึ่งที่เด็กไทยกลัวมากที่สุด ถ้าถามน้อง ๆ ว่าข้อสอบ Part ไหนยากที่สุด หนึ่งในคำตอบยอดฮิตก็คงไม่พ้น Grammar เพราะจำกฎไม่ได้ หรือจำได้ แต่ก็เอามาใช้ไม่เป็น…

Home / CAMPUS / พิชิต Error เลิกเอ๋อด้วย 3 Steps

ไม่น่าเชื่อว่า Grammar ที่เด็กไทยเรียนกันอย่างบ้าคลั่ง ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทองมาตั้งแต่ป.1 กลับเป็นสิ่งหนึ่งที่เด็กไทยกลัวมากที่สุด ถ้าถามน้อง ๆ ว่าข้อสอบ Part ไหนยากที่สุด หนึ่งในคำตอบยอดฮิตก็คงไม่พ้น Grammar เพราะจำกฎไม่ได้ หรือจำได้ แต่ก็เอามาใช้ไม่เป็น แล้วยิ่งถ้าเจอข้อสอบ Error Identification (หาจุดผิดในประโยค) ก็ยิ่งเอ๋อรับประทานกันเลยทีเดียว

พิชิต Error เลิกเอ๋อด้วย 3 Steps

วันนี้พี่หวาย จาก โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ Enconcept มีสูตรเด็ดไว้เผด็จศึกข้อสอบ Error Identification มาฝากน้อง ๆ ซึ่งพี่มั่นใจเลยว่า ถ้าน้อง ๆ ทำได้ตามสูตรนี้ น้อง ๆ จะทำ Error ได้อย่างมั่นใจและแม่นยำมากขึ้นแน่นอน มาดูกันเลยดีกว่า

Step 1 : หา Subject และ Verb ของประโยคก่อนเสมอ

พี่เชื่อเหลือเกินว่า หลายคนก็เคยได้ยินมาว่าให้หา Subject และ Verb ก่อน แต่รู้ไหมครับว่าหาไปทำไม? แล้วมันมีประโยชน์อย่างไรในการทำข้อสอบ?

พี่จะไขข้อข้องใจให้เอง ถ้าน้องย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ข้อสอบ Error น้องจะพบว่าข้อสอบมันออกเรื่องเดิมซ้ำ ๆ โดยเฉพาะเรื่อง Subject-Verb Agreement (ความสอดคล้องของประธานและกริยา), Tense, Passive Voice, Non-finite Verb (กริยาไม่แท้) และ Connector (คำเชื่อม) จะเห็นว่าเกือบทุกเรื่อง

ที่ออกสอบมีความเกี่ยวข้องกับ Verb ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าน้องหา Subject และ Verb เจอ โอกาสที่น้องจะเจอคำตอบก็มากขึ้น และใช้เวลาในการทำข้อสอบน้อยลง

 

Step 2: ดูเฉพาะ Choice (คำที่ขีดเส้นใต้)

จะทำข้อสอบได้เร็ว ต้องโฟกัสให้ถูกจุด เวลาทำข้อสอบ Grammar ห้ามแปล!! ถ้าน้องมัวแปลประโยคโจทย์ มันจะเสียเวลามาก การทำ Grammar ไม่จำเป็นต้องแปลเสมอไปครับ เพราะฉะนั้น เวลาเจอข้อสอบ Error ให้น้องดูแค่ Choice ที่มันขีดเส้นใต้มาให้ก็พอ แต่ดูเสร็จแล้วต้องวิเคราะห์ต่อให้ได้ด้วยนะ สิ่งที่น้องต้องคิดก็คือ คนออกข้อสอบต้องการวัด Grammar เรื่องอะไรจากการขีดเส้นใต้คำนี้มา ยกตัวอย่างเช่น โจทย์ขีดเส้นใต้คำว่า If มา แน่นอนว่าจะต้องวัดเรื่อง If-Clause หรือ Connector สมองน้องก็จะจำกัดวงความคิดให้อยู่แค่เรื่องนี้ ไม่ต้องเอา Grammar เรื่องอื่นมาปน การคิดแบบนี้จะช่วยให้น้องคิดแบบเป็นระบบมากขึ้น และจะได้คำตอบเร็วขึ้นนั่นเอง

 

Step 3: เมื่อเจอผู้ต้องสงสัยแล้ว ต้องแก้จุดผิดให้ถูกให้ได้

ข้อสุดท้ายนี้เหมือนจะไม่จำเป็น แต่สำคัญมาก เพราะการแก้จุดผิดให้ถูกได้ แสดงว่าน้องรู้จริง! เพราะฉะนั้นเวลาฝึกทำโจทย์ ต้องลองฝึกแก้จุดผิดให้ได้ด้วยนะ

 

ตัวอย่างข้อสอบ GAT

Over (1) the last few decades, the drug problem in many (2) industrialized countries (3) have become (4) considerably worse.

Step 1: หา Subject และ Verb ซึ่งก็คือ the drug problem และ have

the drug problem = เอกพจน์

have = พหูพจน์

แสดงว่า Subject และ Verb ไม่สอดคล้องกัน

Step 2: ข้ามได้เลย เพราะได้คำตอบแล้ว

Step 3: เปลี่ยน have เป็น has เพื่อให้สอดคล้องกับประธานเอกพจน์

 

เป็นยังไงบ้าง ไม่ยากเกินไปเลยใช่มั้ย? อย่าลืมเอาเทคนิคนี้ไปฝึกฝนกับโจทย์เยอะ ๆ เพราะ Practice makes perfect. ยิ่งฝึกซ้อม ยิ่งสำเร็จ แล้วเจอกันใหม่

ขอขอบคุณ ครูพี่หวาย โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ Enconcept