The Masterpiece ในนิยามของ หนึ่ง สุริยน เจ้าของธุรกิจอัญมณีระดับประเทศ

หนึ่ง - สุริยน ศรีอรทัยกุล นักธุรกิจรุ่นใหม่ ผู้คุมบังเหียน Beauty Gems ธุรกิจมูลค่าหลายแสนล้านบาทให้มุ่งสู่ความสำเร็จ ตัวแทนของนิยามแห่งคำว่า “The Masterpiece”

Home / TELL / The Masterpiece ในนิยามของ หนึ่ง สุริยน เจ้าของธุรกิจอัญมณีระดับประเทศ

หากพูดถึงบริษัทอัญมณีชื่อดังระดับประเทศที่สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับอุตสาหกรรมอัญมณีในประเทศไทยจนดังไกลไปทั่วโลก ทุกคนต้องเคยได้ยินชื่อของแบรนด์ Beauty Gems และผู้คุมบังเหียนธุรกิจมูลค่าหลายแสนล้านบาทให้มุ่งสู่ความสำเร็จนี้ก็คือ คุณหนึ่ง – สุริยน ศรีอรทัยกุล นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่เป็นทั้งผู้บริหารและเป็นทั้งเจ้าของ ทำให้คุณหนึ่งถูกจับตามองในฐานะตัวแทนของนิยามแห่งคำว่า “The Masterpiece” ตามแบบฉบับของ BMW ซึ่งเชื่อได้เลยว่าบทสนทนาในครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งต้นแบบทางความคิด ที่อาจสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ

นิยามของคำว่า The Masterpiece สำหรับคุณหนึ่งเป็นอย่างไร
“คำว่า The Masterpiece สำหรับผมแล้วคิดว่าไม่ใช่เพียงผลงานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง แน่นอนว่าความหมายที่แท้จริงของคำนี้คือผลงานที่สุดยอด แต่สำหรับผมมันเป็นเสมือนการสะสมทุกผลงานที่เราได้รังสรรค์ขึ้นมา ได้ลองผิดลองถูกในทุกวันประกอบกันเป็นผลงานชิ้น Masterpiece ครับ”

“ผลงานชิ้น The Masterpiece คือการได้ทำสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่น” คำกล่าวนี้มีความหมายอย่างไร
“ผลงาน The Masterpiece ชิ้นหนึ่งที่ผมได้เก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจ เป็นความภูมิใจ เป็นกำลังใจ คือการได้มีส่วนร่วมในการผลักดันกฎหมายการครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็ก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมมองเห็นและอยากแก้ไขมัน ซึ่งนอกจากมันจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผมแล้ว มันยังเป็นส่วนหนึ่งในการมอบสิ่งดีๆ ที่ผมสามารถทำได้คืนให้กับสังคม ซึ่งผมทำไปด้วยใจจริงๆ โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน เพราะฉะนั้น The Masterpiece ในอีกนิยามหนึ่ง นั้นคือผลงานที่เราภูมิใจและสร้างประโยชน์ให้กับสังคมครับ”

วิธีหาแรงบันดาลใจของคุณหนึ่งเป็นอย่างไร
“โดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างที่จะเป็นคนโชคดี เพราะมีคุณพ่อคุณแม่เป็นแบบอย่าง และแรงบันดาลใจของผมอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ตื่นนอนทุกเช้าแล้วได้รังสรรค์ผลงานที่ Made in Thailand ตื่นมาเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศจากงานฝีมือระดับ Masterpiece ของคนไทย ตรงนี้จึงเปรียบเสมือนแบตเตอรี่ของผม”

“แรงบันดาลใจดีๆ มันหายากกว่าเพชรอีก” คือ ประโยคที่คุณหนึ่งเคยกล่าวไว้ คิดว่าคนทั่วๆ ไปจะมีวิธีค้นพบแรงบันดาลใจได้อย่างไร
“เราต้องเอาปัญหามาบวกกับลมหายใจ การที่เรายังมีชีวิตอยู่ แล้วเราไม่สามารถหักดิบเอาความทุกข์ของเราออกไปได้ เมื่อความทุกข์ได้เอาความหวังและแรงบัลดาลใจออกไปจากชีวิตเรา วันนั้นอยากให้เรามองกระจก และบอกกับตัวเองว่าเราทำดีแล้ว และเราต้องฝ่าฟันมันไปให้ได้ โดยใช้สิ่งที่ยังมีอยู่ให้เป็นประโยชน์ที่สุด เพราะฉะนั้นตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ เราจะยังค้นพบแรงบันดาลใจได้เสมอ”

“การมีความหวังสำคัญกว่าการก้าวไปข้างหน้า” คำกล่าวนี้ของคุณหนึ่งมีความหมายที่แท้จริงว่าอย่างไร
“ชีวิตมนุษย์แปลกนะครับ ถ้าเราหมดซึ่งความหวัง เราก็เหมือนมีแค่เพียงร่างกาย มีแต่ลมหายใจ การที่เราได้เกิดมาบนโลกใบนี้แล้วและเลือกที่จะมีความหวัง เลือกที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง มันเหมือนกับเป็นพลังอันสูงสุด ทำให้เราสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับตัวเองและเพื่อนมนุษย์ หรือเราอาจจะเอาความคาดหวังเหล่านั้นมาสร้างแรงผลักดันให้ชีวิตของเรา ผมจึงเปรียบเทียบความหวังเหล่านั้นว่านี่แหละคือชีวิต การที่เราสิ้นหวัง ถึงแม้เรายังมีลมหายใจอยู่ ชีวิตก็ไร้ค่า”

วิธีคิดแบบไหนที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ
“จริงๆ แล้วผมคิดว่าเราไม่ควรตั้งความสำเร็จไว้เป็นเป้าหมาย แต่เราควรจะมองเห็นถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก และเราสร้างสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม ไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง สิ่งนั้นจะนำพาความสำเร็จที่พ่วงมาด้วยความสุขของทุกคนรวมถึงตัวเราเอง เพราะคุณแม่สอนให้ผมเป็นห่วงทุกคนในบริษัท คุณแม่บอกว่าพวกเค้ายังไม่สบายเลย แล้วผมจะมานั่งสบายอยู่ได้อย่างไร จนถึงตอนนี้คุณแม่บอกผมว่าขอโทษที่พูดแบบนั้น เพราะมันทำให้ชีวิตของผมไม่มีคำว่าสบาย เพราะผมคอยห่วงและทำเพื่อคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ผมคิดว่าหนทางที่จะพาเราประสบความสำเร็จ คือการที่เราต้องคิดถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวครับ”

การคลุกคลีอยู่ในธุรกิจนี้อัญมณี คุณหนึ่งคิดว่าความละเอียดสำคัญอย่างไร
“จริงๆ ผมมีชีวิตที่ยากลำบากนะครับ หลายๆ คนอาจจะเห็นว่า โห ผมใช้ชีวิตอยู่บนของหรูหราฟุ่มเฟือย แต่ความกดดันที่มีกับการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับของที่มีมูลค่าสูง เป็นเหมือนการที่เราต้องแบกรับความน่าเชื่อถือ สร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะฉะนั้นผลงานที่เรารังสรรค์ทุกชิ้นจะต้องเพอร์เฟค”

คำว่า “คิดนอกกรอบ” สำคัญกับคุณหนึ่งอย่างไร
“การคิดนอกกรอบสำหรับผมสำคัญมาก ยิ่งสำหรับในยุคนี้เรียกได้ว่าต้องเห็นวิกฤตให้เป็นโอกาส สิ่งที่ผมเป็นก็เรียกได้ว่าเป็นผู้บริหารที่คิดนอกกรอบอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่จะนำพาองค์กรเราไปสู่ความสำเร็จได้ เราต้องหมั่นเติมเชื้อเพลิง ทั้งหมดทั้งปวงคือแรงบันดาลใจ ความหวัง ที่เราเอามาสร้างผลงาน และความสำเร็จมันจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเราไม่ลงมือทำ”

ถ้าหากการคิดนอกกรอบทำให้ใครคนใดคนหนึ่งล้มเหลว คุณหนึ่งอยากบอกอะไรกับเค้า
“คือการคิดนอกกรอบเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่มันก็มาพร้อมความเสี่ยง เหมือนสมัยก่อนที่คนที่คิดนอกกรอบหลายๆ คนล้มเหลว เพราะถูกมองว่าเป็นคนเพ้อฝัน แต่ในปัจจุบันความคิดของคนล้มเหลวเหล่านั้นทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แม้แต่หินยังต้องใช้เวลาหลายล้านปีกว่าจะกลายเป็นเพชรเลยครับ เพราะฉะนั้นการล้มเหลวของคุณในตอนนี้ มันอาจจะนำพาให้คุณกลายเป็นเพชรในวันหน้าก็ได้ รวบรวมสติ และกลับมาสร้างความหวังในชีวิต สร้างผลงาน Masterpiece กันอีกครั้งเถอะครับ”

คุณหนึ่งอยากจะบอกอะไรกับคนที่กำลังจะหมดหวัง
“อยากให้ตั้งสติ สติคือสิ่งสำคัญ บางครั้งที่เราเจอวิกฤต เราท้อแท้ เราหมดหวัง ตอนนั้นเราต้องใช้สติในการรวบรวมความหวังอีกครั้ง สร้างแรงบันดาลใจอีกครั้ง และใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ ว่ามันไม่มีอะไรที่จะได้ดั่งใจเรา 100%”

คุณหนึ่งมองว่าความสมบูรณ์แบบสำคัญอย่างไร
“ความสมบูรณ์แบบสำคัญมากครับ หากเราได้รับมอบหมายหน้าที่หนึ่งแล้วเราไม่ทำให้ดี เช่น การผลิตอัญมณีหนึ่งชิ้นเริ่มตั้งแต่การดีไซน์ หากคนดีไซน์เริ่มต้นอย่างไม่เต็มที่ ต่อให้คนอื่นๆ พยายามมากแค่ไหน ผลงานชิ้นนั้นก็ไม่มีทางที่จะสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นการที่ทุกคนทำสิ่งที่ดีที่สุดอยู่เสมอ มันจะกลายเป็นทีมเวิร์ค และนำพาความสำเร็จมาสู่ทุกคน”

คุณหนึ่งคิดว่าคนทั่วไปสามารถสร้างผลงานระดับ The Masterpiece ได้ไหม
“ผมมองว่าทุกคนไม่ได้มีโอกาสเหมือนกัน แต่ทุกคนมีลมหายใจเหมือนกัน ไม่ได้มีใครเหนือกว่าใคร หรือดีกว่าใคร เพราะฉะนั้นคุณค่าของชีวิตที่เราสร้างเพื่อตัวเองและสามารถเผื่อแผ่ไปยังส่วนรวมได้ นั่นแหละ คือการสร้างผลงานระดับ The Masterpiece แล้ว”

อะไรคือคติพจน์แห่งความสำเร็จ
“ผมคิดว่าเราจะไม่กดดันตัวเองด้วยคำว่าความสำเร็จ เราจะกดดันตัวเองด้วยผลงาน ผลงานจะทำให้เราเกิดความมั่นใจ เพราะฉะนั้นความสำเร็จสำหรับผมคือการที่เราลงมือทำงานในสิ่งที่เรารัก และทำผลงานเหล่านั้นให้มีประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด ทำให้ทุกวันเป็นเหมือน The Masterpiece ของเรา”

EXPERIENCE THE 7 คือแคมเปญที่สะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในสายเลือดของ BMW โดย BMW Thailand ได้ค้นหาบุคคลต้นแบบ ที่จะนำมุมมองในการใช้ชีวิตของพวกเขามาตีแผ่เป็นแม่บทแห่งแรงบันดาลใจให้แก่บุคคลทั่วไป โดยมุ่งหวังว่าเรื่องราวทั้งหมดจะสามารถชี้นำแนวทางในการใช้ชีวิต และก่อให้เกิดแนวคิดในการพัฒนาตนเองและสังคมต่อไป