KEAH น้ำมันจระเข้ บี.เอส.เอ็น ไลฟ์ เมธัส เงินจันทร์

เมธัส เงินจันทร์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.เอส.เอ็น ไลฟ์ เจ้าของแบรนด์ KEAH

KEAH SPA GEL แห่ง B.S.N life นวัตกรรมสารสกัดน้ำมันจระเข้บนแนวคิด Circular Economy “ไขมันจระเข้น้ำจืด” ที่ไม่มีใครสนใจเป็นของเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมจระเข้น้ำจืด ไม่เพียงสร้างขยะให้สิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นภาระของผู้ประกอบการและเกษตรกร เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงในการขจัดอย่างถูกต้อง สิ่งที่ดูไร้ค่านี้…

Home / TELL / เมธัส เงินจันทร์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.เอส.เอ็น ไลฟ์ เจ้าของแบรนด์ KEAH

KEAH SPA GEL แห่ง B.S.N life นวัตกรรมสารสกัดน้ำมันจระเข้
บนแนวคิด Circular Economy

“ไขมันจระเข้น้ำจืด” ที่ไม่มีใครสนใจเป็นของเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมจระเข้น้ำจืด ไม่เพียงสร้างขยะให้สิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นภาระของผู้ประกอบการและเกษตรกร เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงในการขจัดอย่างถูกต้อง

สิ่งที่ดูไร้ค่านี้ ไม่น่าเชื่อว่าได้กลายมาเป็นจุดดึงดูดให้นักวิจัยไทยคนหนึ่ง หันมาศึกษาวิจัยสารสำคัญในไขมันจระเข้ จนค้นพบความลับและนำมาสู่การสร้างแบรนด์ KEAH SPA GEL (เข้ สปา เจล) ผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นนำร่องเพื่อปูทางไปสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอื่นๆ ต่อยอดนวัตกรรมงานวิจัยเชิงพาณิชย์จนสร้างมูลค่าทางการตลาดและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างไม่มีใครคาดคิด

จากของเหลือทิ้ง เข้าสู่แนวคิด Circular Economy
แบรนด์ KEAH เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของ เมธัส เงินจันทร์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.เอส.เอ็น ไลฟ์ จำกัด โดยมีจุดเริ่มต้นเมื่อครั้งเขาเป็นนักศึกษาปริญญาเอก คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ค้นคว้าคุณสมบัติของก้อนไขมันจระเข้ว่ามีคุณสมบัติเด่น โอเมก้า 9 สูง มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด และสามารถยับยั้งการอักเสบได้

“แรกเริ่มผมไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้ แต่มาจากโจทย์ของวิสาหกิจชุมชนที่มาปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาของผม คือ รองศาตราจารย์ ดร.ดวงพร อมรเลิศพิศาล ว่ามีก้อนไขมันจระเข้เหลือทิ้งเยอะ คิดว่าน่ามาทำประโยชน์อะไรได้ ทำให้ผมหันมาค้นคว้าทำงานวิจัยเรื่องนี้”

ด้วยความตั้งใจส่วนตัวของเมธัสที่มีเป้าหมายอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านสารสกัดที่สามารถนำนวัตกรรมหรืองานวิจัย มาสร้างมูลค่าเพิ่มทางการตลาดได้ เขาจึงมองเห็นโอกาสพัฒนาสารสกัดจากวัตถุดิบนี้ ทางหนึ่งไม่เพียงเป็นการค้นพบสารสกัดใหม่เชิงนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์ในการส่งเสริมกระบวนการ Zero waste เป็นส่วนหนึ่งของกลไก Circular Economy จากการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นวัตกรรมห้องวิจัยสู่การสร้างแบรนด์&ผลิตภัณฑ์
เมื่อพิสูจน์ได้ว่าสารสกัดจากน้ำมันจระเข้มีสรรพคุณที่ดีจริง เมธัสจึงนำมาสู่การพัฒนาเป็นธุรกิจ ตั้งแต่การซื้อลิขสิทธิ์จากมหาวิทยาลัย เพื่อนำมาทำเป็นธุรกิจ, ดำเนินการขอ อย. และการะดมทุน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเริ่มต้นธุรกิจ เมธัสเผยว่า เขาก็แค่คนธรรมดา ไม่ได้มีเงินทุนตั้งต้นมากมาย แต่ความเชื่อมั่นในงานวิจัย ซึ่งเป็นนวัตกรรมเชิงลึกที่ไม่เหมือนใคร โดยในไทยมีเพียงไม่กี่รายที่มีการวิจัยสารสกัดชนิดนี้ เขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจด้้วยการระดมทุนจากการเดินสายประกวดต่าง ๆ สารพัดรายการนับไม่ถ้วน ทำให้ได้รับความสนใจทั้งจากสื่อและหน่วยงานด้านงานวิจัย รวมถึงได้รับรางวัลรับรองมากมายจากหลายองค์กร อาทิ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือNIA จากโปรเจ็คต์สตาร์ทอัพต่าง ๆ

“การประกวดและได้รับทุนสนับสนุน เป็นจุดเล็ก ๆ ที่ทำให้ผมโตขึ้น จากนั้นก็เริ่มพิชชิ่งงานนอกมหาวิทยาลัยมากขึ้น เพื่อขอทุนสนับสนุนจากแหล่งทุนต่าง ๆ อย่าง NIA ซึ่งเป็นรายการที่ไปบ่อยมาก ได้เงินสนับสนุนมาตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักล้าน

ผมผ่านมาหลายเวทีมาก ส่วนหนึ่งเพราะผมอยากให้คนรับรู้ ปรับมุมมอง อยากให้คนทั่วไปเปิดใจและมีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับจระเข้ โดยเฉพาะน้ำมันจระเข้ ซึ่งต่อมาก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดี มีคนให้ความสนใจงานวิจัยของเรา รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการ B2B ที่มาเป็น Joint Venture”

มุ่งตลาดบรรเทาปวด เน้นเผยแพร่งานวิจัย ปรับมายด์เซ็ตเดิม ๆ
“ต้องบอกก่อนว่าอุตสาหกรรมเกี่ยวกับจระเข้ในไทยเป็นธุรกิจที่มีอยู่แล้ว ผมไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการฆ่า แค่อยากใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่ามากที่สุด เพราะไขมันจระเข้เป็นส่วนเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมจระเข้ มานานกว่า 30-40 ปีแล้ว แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้” เมธัสย้อนก้าวแรกเมื่อนำงานวิจัยมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ ที่มีอุปสรรคสำคัญอยู่ที่ mindset ของคนทั่วไปที่ยังมองวัตถุดิบชนิดนี้ในเชิงลบ

ขณะที่เมธัสกลับมองว่าแบรนด์และนวัตกรรมสารสกัดน้ำมันจระเข้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมแนวคิด Circular Economy ที่จะช่วยเหลือเกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง และเพื่อเป็นการปรับการรับรู้ของคนส่วนใหญ่ จึงเลือกนำสารสกัดมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์นำร่อง KEAH SPA GEL เจลบำรุงต้านการอักเสบ มีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยบำรุงผิวให้นุ่ม ชุ่มชื่น ไม่ระคายเคืองผิว ที่สำคัญปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์มนุษย์ โดยเน้นเรื่องการสื่อสารเป็นหลัก สร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวก ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ “เจ” จันทรบูรณ์ เกรียงชัยไพรพนา นักวิ่งเทรลระดับแนวหน้าของประเทศ ควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์งานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

“ได้ศึกษาการตลาดหลายๆ พบว่าตลาดผลิตภัณฑ์บรรเทาปวดทั่วไปเป็น Red Ocean จนมาเจอตลาดที่นิชกว่า คือ นักวิ่งเทรล ยิ่งได้อินฟลูเอนเซอร์มาช่วยด้วย ก็ช่วยสร้างอิมแพ็คให้แบรนด์ได้อย่างดี เพราะนักวิ่งเทรลจะประสบปัญหาการฟื้นฟูกล้ามเนื้อพักฟื้นนาน ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้ใช้จริง KEAH GEL ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้ภายใน 2-3 วันให้กลับมาซ้อมได้เบา ๆ จากเมื่อก่อนใช้เวลา 5 วัน

แบรนด์อาจไม่ได้โตในวงกว้าง แต่ได้รับความนิยมในกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีกำลังซื้อและเกิดการซื้อซ้ำสูง จนช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นักวิ่งเทรลซ้อมไม่ได้ แต่น่าแปลกแบรนด์กลับเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้สูงวัย 50-60 ปี ที่เปิดใจยอมรับผลิตภัณฑ์ของเรา นอกจากจะโอเคกับสรรพคุณแล้ว คนกลุ่มนี้ยังชอบภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์บอกว่าดูวัยรุ่น ดูไม่แก่ ไม่ป่วย”

ผลตอบรับที่ดีจากผลิตภัณฑ์นำร่อง เป็นกำลังใจให้เมธัสรู้สึกว่าเดินมาถูกทาง ผลักดันให้เกิดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อ ด้วยการเตรียมขยายไปกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเด็กสำหรับผิวแพ้ง่าย และผลิตภัณฑ์อาหารเสริม พร้อมกับจดสิทธิบัตรกระบวนการสกัดน้ำมันจระเข้นี้เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายที่อยากให้บี.เอส.เอ็น ไลฟ์ เป็นบริษัทเชี่ยวชาญด้านการสกัดและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันจระเข้

สม่ำเสมอบนร่องของความสำเร็จ
2 ปีกว่าแล้วที่บริษัทและแบรนด์ค่อย ๆ เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป กว่าจะมาถึงจุดนี้ทุกอย่างไม่ได้สวยงาม ผ่านคำดูถูก ถากถาง มามากมาย แต่เมธัสยึดมั่นในคติการทำงานที่ว่า มีความสุขกับสิ่งที่ทำ บวกกับค่อย ๆ ทำ แบบที่เขาว่า ‘ทำอย่างสม่ำเสมอในเป้าหมายที่ตั้งไว้บนร่องของความสำเร็จ’

“ตอนแรกผมเป็นคนพูดไม่เก่ง พรีเซนต์ก็ไม่เป็น แต่ไปหลาย ๆ เวที พอบ่อย ๆ ก็เหมือนถูกขัดเกลาไปเรื่อย ๆ ไม่มีใครได้รางวัลตั้งแต่เวทีแรกหรือเก่งตั้งแต่เวทีแรก ทุกอย่างอยู่ที่ mindset สำคัญคือเปิดใจรับฟัง ไม่ว่าจะคนรุ่นไหน เด็กหรือผู้ใหญ่ ที่เหลืออยู่ที่จะตกผนึกได้แค่ไหน และนำมาพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ”

ในสายตาของเมธัสมองว่าธุรกิจยังไม่ถึงกับสำเร็จ แต่นับว่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของคนเดียว แต่เกิดการหลาย ๆ ปัจจัย อย่างที่เมธัสให้เครดิตทีมงานที่แข็งแกร่ง กำลังใจจากอาจารย์ที่ปรึกษาและครอบครัว ที่สำคัญคือภาพลักษณ์ความเป็นนักวิจัยที่ได้ช่วยลดภาระให้กับเกษตรกร ในทางอ้อมก็เป็นการเพิ่มรายได้ไปในตัว รวมถึงได้การสนับสนุนจากภาครัฐและสื่อมวลชน ทั้งการได้รับรางวัลด้านงานวิจัยและความสนใจจากสื่อ เป็นการเปิดโอกาสหลาย ๆ ด้านให้กับแบรนด์

“ผมโชคดีที่สื่อให้ความสนใจ และช่วยเผยแพร่ผลงานวิจัยของผม หลังจากที่ผมได้รับรางวัลและออกสื่อบ่อย ช่วยให้คนรู้จักแบรนด์มากขึ้น เชื่อมั่นว่าเรานำสิ่งเหลือใช้เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้จริง จุดหนึ่งต้องขอบคุณ NIA ด้วยในการสนับสนุนทุนและติดตามโครงการของเรามาโดยตลอด เพราะการอัปสเกลต้องมีทั้งการทดสอบและวิจัยอยู่ตลอดเวลา ไปจนถึงขยายเครื่องสกัดที่ได้มาตรฐานโรงงานและมีกำลังการผลิตที่เพียงพอกับความต้องการของบริษัท ย่อมต้องอาศัยเงินทุนในขั้นเริ่มต้น”

ภูมิใจเป็นกระบอกเสียงสายงานวิจัยด้านประมง
เส้นทางแบรนด์ KEAH ยังคงอีกยาวไกลในการต่อยอดไปเรื่อยๆ อย่างที่เมธัสบอกว่าต้องพัฒนาไปอย่างสม่ำเสมอ แต่ความภูมิใจที่เกิดขึ้นแล้ววันนี้ในใจของเมธัส คือ การได้เป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงที่ทำให้อุตสาหกรรมเกี่ยวกับสารสกัดน้ำมันจระเข้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ให้มุมมองเชิงบวกมากขึ้น รวมถึงการเป็นกระบอกเสียงให้วงการงานวิจัยประมงมีภาพลักษณ์ใหม่ๆ มากขึ้นว่าสามารถนำมาสร้างมูลค่าได้เหมือนกัน

“ทุกวันนี้ผมมีโอกาสไปเป็นวิทยากรให้กับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ ๆ และนักศึกษา เป็นมิติหนึ่งที่ผมภูมิใจมาก อย่างน้อยจุดประกายให้เด็กรุ่นใหม่ๆ ที่คิดว่าจะสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพได้อย่างไร เมื่อไม่มีทุน ไม่ได้ร่ำรวยมาจากไหน แต่ผมเชื่อว่าถ้ามีไอเดีย มีความตั้งใจ มองหาความเป็นไปได้ในทุกแง่มุม โอกาสสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพทำได้”

คติประจำใจ : “ทำอย่างสม่ำเสมอในเป้าหมายที่ตั้งไว้บนร่องของความสำเร็จ”

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace
ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)