บุญธิดา ชินวงษ์ หรือคุณฝ้าย เธอคือบิวตี้บล็อกเกอร์สุดปัง เก่ง ใจสู้และไม่ท้อแท้หรือที่หลายๆ คนรู้จักเธอในชื่อ ฝ้าย ใช้เท้าแต่งหน้า เธอมีความสามารถในการแต่งหน้าที่เก่งมากๆ คุณฝ้ายเล่าว่าเราอยากเห็นคนอื่นสวยบ้าง คือเราเข้าใจตัวเราว่า ตอนเรายังไม่ได้แต่งหน้าแล้วเราอยากแต่งตอนม.ต้น มันไม่มีใครแต่งให้เราเลย เรารู้สึกว่าทำไมอ่ะ ทำไมเราถึงจะสวยเหมือนคนอื่นไม่ได้ ทำไมเราถึงจะแต่งไม่ได้
“คือจุดเริ่มต้นของฝ้ายเลยคือเห็นเพื่อนสวย แค่นั้นเลยเพราะว่าตอนแรกเราเรียนที่โรงเรียนเด็กพิการ เขาก็ไม่ให้เราแต่งหน้าแต่งตัวและก็บังคับให้เราผมติ่ง เราก็แบบเห็นเพื่อน อุ๊ย! ทำไมสวยจัง คนนู้นก็สวย คนนี้ก็สวย คนนั้นก็สวย เราก็เลยเริ่มมีแรงบันดาลใจว่าแบบ เราอยากสวยเหมือนเพื่อนบ้าง เราก็เริ่มดูยูทูปแบบแต่งหน้าใสๆ ไปโรงเรียน แต่งหน้ายังไงให้ครูจับไม่ได้อะไรอย่างงี้ ก็แต่งตาม พอแต่งตามก็เลยโป๊ะ”
คนในครอบครัว คือ ลูกค้าคนแรก
“ตอนนั้นเป็นงานแต่งงานของเพื่อนพี่สาว แล้วเราแบบ เฮ้ย! เดี๋ยวแต่งหน้าให้ นี่ก็เสนอหน้าไป เสนอหน้า มั่นหน้ามากเพราะว่ายังแต่งหน้าได้ไม่เท่าไหร่ แต่เสนอหน้าแล้วนะคะ เราก็แบบเดี๋ยวแต่งให้อะไรอย่างงี้ ปรากฏว่า คือแต่งแล้วแบบมันมีความชินอะค่ะ คือเราพอแต่งได้อะไรอย่างงี้ แล้วนั่งกินข้าวกับน้าสาวอยู่ แล้วก็เพื่อนคนในงานนั่นแหละ เขามาทักแบบว่า อุ๊ย! ใครแต่งให้อะสวยจัง อะไรอย่างเงี้ย เราก็แบบ อยู่ๆ อย่างนั้น คือก็ดีใจ ดีใจแล้วก็เลยแบบมีความมั่นใจว่าเราก็แต่งหน้าให้คนอื่นได้เหมือนกัน”
แต่! ไม่ยอมแต่งหน้าให้คนอื่น เพราะ กลัว
“มีลูกค้าแม่ แต่ว่าตอนแรกๆ เลยเรายังไม่รับ เพราะว่าเขาบอกว่าเขาแต่งไปงานแต่ง คือคำว่าแต่ง ไปงานแต่ง ในหัวหนูแบบ…งานใหญ่ คือเขาเป็นภรรยาตำรวจ คนมียศ เขาตีกระบังลมแบบปังมาก เขาโทรมาหนูรับแต่งหน้าไหมลูก บอก อู้ย! แม่ให้เขาหาคนอื่นเลย หนูไม่เอาอะไรอย่างงี้ เพราะว่าแบบกลัว”
“คือเราแต่งในสไตล์ของเรา แต่ละคนลูกค้าแต่ละคนมีสไตล์การแต่งหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น คนมีอายุหน่อย เขาก็จะแต่งอีกแบบหนึ่ง คนที่วัยเหมือนหนูหน่อย เจนแบบหนู ก็จะแต่งอีกอย่างนึง เราไม่รู้ว่าแต่ละคนเขาชอบยังไง แล้วก็โครงหน้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน”
สุดท้าย! ยอมแต่งหน้าให้คนอื่นๆ เพราะ….
“เราอยากเห็นคนอื่นสวยบ้าง คือเราเข้าใจตัวเราว่า ตอนเรายังไม่ได้แต่งหน้าแล้วเราอยากแต่งตอนม.ต้นอะค่ะ มันไม่มีใครแต่งให้เราเลยอะ เรารู้สึกว่าทำไมอ่ะ ทำไมเราถึงจะสวยเหมือนคนอื่นไม่ได้ ทำไมเราถึงจะแต่งไม่ได้”
การบูลลี่ คือ สิ่งที่โหดร้ายที่สุดของชีวิต
“ถ้าเหตุการณ์ที่เฟลที่สุดไม่ใช่การบูลลี่เกี่ยวกับการแต่งหน้า แต่เป็นการบูลลี่เกี่ยวกับสภาพร่างกายและหน้าตาของเรา โดนตอนช่วงม.ปลาย เพราะว่าตอนนั้นฝ้ายไปถ่ายชุดแต่งงานให้ร้านๆ นึง พอถ่ายเสร็จเราก็ลงในติ๊กต็อกในแอคเค้าท์เก่า และก็ลงเฟซบุ๊กอะไรอย่างงี้ แล้วก็มีคนเอารูปและก็เอาคลิปเราไปโพสต์ว่าแบบว่า ตากล้องบอกให้ชูสองนิ้ว ชูไม่ได้ ลืมไปว่าน้องเขาไม่มีแขน แล้วก็คนบอกว่าน้องน่าจะเป็นดักแด้ ตอนนั้นก็เลิกเล่นโซเชียลไปเป็นเดือนค่ะ แล้วก็ไม่ไปเรียนเป็นอาทิตย์ เกือบเดือนเหมือนกัน ตอนนั้นมีความคิดว่าอยากจะฆ่าตัวตายด้วย ในตอนนั้น เพราะว่าเรามาโดนตอนโตแล้วอะค่ะ เราไม่ได้โดนตอนแบบเป็นเด็กอะไรอย่างงี้ คือเรารู้เรื่องหมดแล้ว”
“ซึมๆ เลย นอยด์แบบพารานอยด์เลยว่าแบบ เขาพูดให้เรารู้สึกแย่เพียงแค่รูปร่าง ร่างกาย หน้าตาเราไม่เหมือนเขาเหรอ แค่เราไม่มีเหมือนเขาเหรอ เขาถึงแบบว่าพูดจาแย่ใส่เราขนาดนี้ เราเกิดมามันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะว่าเขาว่าเราแรงมาก นอกเหนือจากนั้นคือแรงเลยค่ะ”
ลุกขึ้นสู้ เพราะคำว่า ครอบครัวและความฝัน
“น้องสาวก็มานอนด้วย น้องสาวก็รู้เหตุการณ์ น้องก็เลยบอกว่า พี่ฝ้ายจะไปแคร์ทำไมแค่คนกลุ่มเดียว พี่ฝ้ายมีแพลนที่จะซื้อบ้านให้พ่อกับแม่พี่ไม่ใช่เหรอ แล้วถ้าพี่ไม่ทำตรงนี้ต่อ แล้วใครจะมาทำต่อ แล้วความฝันพี่ฝ้ายจะทิ้งอย่างงี้เหรอ น้องก็เลยเตือนสติ แล้วก็แบบแฟนคลับโทรมา โทรมาแบบน้องฝ้ายหายไปไหนไม่เห็นนานเลยอะไรอย่างงี้ค่ะ”
ส่งเสริม อย่า สงสาร
“หนูอยากให้ทุกคนเห็นว่า คนพิการไม่ต้องเศร้าเสมอไป และก็ไม่ต้องทำตัวน่าสงสารเสมอไป เพราะว่าคนปกติชอบตีกรอบคนพิการว่าแบบ มึงต้องอยู่ตรงนี้นะ มึงต้องห้ามออกจากกรอบนะ มึงต้องเรียบร้อยนะ มึงต้องน่าสงสารนะ แต่หนูอยากให้เขาเปลี่ยนค่ะว่า สงสารเป็นส่งเสริมอ่ะ ส.เสือเหมือนกันก็น่าจะเปลี่ยนได้แหละ ไม่ต้องสงสารเรา เพราะว่าคนทั่วไปชอบเห็นว่าแบบน่าสงสารจังเลย ไม่มีแขนอะไรเนี่ย โดนบ่อย ทำไมน่าสงสารจัง เราก็แบบอย่าสงสารได้ป่ะ ส่งเสริมกูเถอะอะไรอย่างงี้ ส่งเสริมอาชีพ ส่งเสริมแบบการดำรงชีวิตในสังคม ให้เรามีความเท่าเทียมกับคุณเถอะอะไรอย่างงี้ อย่าสงสารดีกว่า เราก็เหมือนคนปกตินี่แหละ แค่เราใช้อุปกรณ์เสริมแค่นั้นเองในชีวิต คุณเดิน เราใช้วีลแชร์ แต่มันก็เคลื่อนไหวเหมือนกันแค่นั้นเองค่ะ”